วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความรักที่แม่ให้ มีค่าเท่าไหร่กัน?

ข้อมูลจาก Forward Mail
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า... บ้านหลังหนึ่ง … มีสองแม่ลูกอาศัยอยู่ด้วยกัน ส่วนพ่อนั้น ตายไปนานแล้ว แม่ต้องคอยหาเลี้ยงดูลูกน้อย จนเติบใหญ่ และส่งเสียได้เรียนหนังสือ จนจบการศึกษา

แต่… หลังจากลูกชายเรียนจบ มีงานทำดีๆ ก็ยังขอเงินแม่ใช้อยู่ พอแม่ถามว่า "เงินเดือนแต่ละเดือนไปไหนเหรอลูก เหลือเก็บบ้างไหม?"...

คำตอบที่ได้ฟังจากปากลูกชายคือ "เที่ยวหมดแล้วครับแม่ … เงินเดือนผมก็น้อย ค่าเลี้ยงสาวยังไม่พอเลย แม่จะเอาอะไรกับผมนักหนาเนี่ย! อย่ายุ่งกับผมได้ไหม?"

พอแม่ได้ฟังดังนั้น ก็เงียบ !!! และก็พูดว่า "ที่แม่พูดไม่ใช่แม่อยากได้ตังค์เจ้า … แต่แม่กลัวว่าเจ้าจะไม่รู้จักใช้เงิน เผื่อยามฉุกเฉิน จะได้ไม่ต้องเดือดร้อน หรือ เผื่อลูกไม่มี ขาดเหลือ อะไรแม่จะได้ช่วยเหลือเจ้าได้ และ แม่ …" ยังไม่ทันที่แม่จะพูดจบลูกชาย ก็เดินจากไป…

อยู่มาวันหนึ่ง . . . ลูกชายก็เดินเข้าไปหาแม่ในครัว พร้อมยื่นกระดาษที่เขียนข้อความไว้จนเกือบเต็มหน้าให้คุณแม่ของเขาอ่าน ซึ่งมีใจความว่า...

ค่าตัดหญ้า 5.00 บาท

ค่าทำความสะอาดห้องผม อาทิตย์นี้ 1.00 บาท

ค่าซื้อของให้แม่ 2 .50 บาท

ค่าดูแลน้องชาย 2.50 บาท

ค่าเอาขยะไปทิ้ง 1.00 บาท

ค่าได้คะแนนดี 5.00 บาท

ค่ากวาดสนาม 2.00 บาท

รวมค้างชำระ 19.00 บาทถ้วน

ปล.แม่จ่ายให้ผมด้วย (โห... ทำงานมีเงินเดือนกะเงินแค่นี้ยังขอแม่นะเนี่ย!!!! เฮ้อ...น่าเศร้าใจจริงๆ)

… เมื่อคุณแม่อ่านเสร็จแล้วก็หยิบปากกาขึ้นมา เธอพลิกกระดาษไปด้านหลังแล้วเขียนว่า...

เก้าเดือนที่แม่อุ้มท้อง… ไม่คิดเงิน

เวลาที่แม่พยาบาลลูก และสวดมนต์ให้ลูก … ไม่คิดเงิน

ค่าที่ลูกทำให้แม่ต้องเสียน้ำตา... ไม่คิดเงิน

ของเล่น อาหาร เสื้อผ้า พาเที่ยว... ไม่คิดเงิน

แม้แต่เช็ดน้ำมูกให้… ไม่คิดเงินหรอกจ้ะลูก

เมื่อรวมทั้งหมดเป็นราคาเต็มของความรัก…ไม่คิดเงินเหมือนกั

และเมื่อลูกชายได้อ่านสิ่งที่คุณแม่เขียนไว้ ก็อึ้ง !. . . น้ำตาหยดโตก็ไหลออกมา เขาสบตากับแม่แล้วจึงพูดว่า... " แม่ครับผมรักแม่จริงๆ นะครับ" แล้วเขาก็เอาปากกาเขียนหนังสือตัวโตว่า... …จ่ายหมดแล้ว... แม่จ่ายหมดแล้ว... แต่... แต่ว่า... ลูกยังทอนให้ไม่หมดครับแม่... !!

(แง๊ อ่านแล้วซึ้งอ่ะ น้ำตาแทบไหล)

เรียงความเรื่อง แม่

ข้อมูลจาก Forward Mail
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

แม่ เป็นภาระให้แก่ลูกทุกคนมาตั้งแต่เกิด นั่นเป็นความจริงที่เราไม่อาจจะปฏิเสธได้ ก็ลองคิดดูสิ ตั้งแต่เราเกิดมา ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย อยู่ดีๆ ผู้หญิงคนนี้ก็มาโอบอุ้ม ถูกเนื้อต้องตัวเรา มิวายที่เราจะแหกปากร้องไห้ขับไล่ไสส่งยายผู้หญิงคนนี้ขนาดไหน เธอก็ยังพยายามปลอบโยน เห่กล่อมเราอยู่นั่นแหละ เป็นภาระให้เราต้องจำใจเงียบ ยอมนอนดูดนมเธออยู่จั่บๆๆ

พอเราเริ่มเตาะแตะ ตั้งไข่จะเดินไปไหนต่อไหนมั่ง คุณเธอก็ยังคอยเรียกหาเราอยู่นั่นแหละ

"มานี่มาลูก มานี่มา อีกนิดเดียวลูก อีกนิดเดียว อีกก้าวเดียว "ไม่รู้จะเรียกทำไมนักหนา ไอ้เราก็เดินล้มลุกคลุกคลานอยู่ เห็นมั้ย เป็นภาระที่เราต้องเดินไปให้เธอกอดอีก

โต ขึ้นมาอีกนิด เราเริ่มกินอาหารได้ หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้ เละๆ เทะๆ มาบดให้เรากิน ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ ก็เอาวะ เอาซะหน่อย เคี้ยวไปเเจ่บๆ อย่างนั้นแหละ แม่คุณก็ยิ้มปลื้ม คงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะ กล้วยบดนะจ๊ะ เธอจ๋า ในปากฉันตอนนี้น่ะ ถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ

ที นี้พอเราเริ่มพูดจารู้เรื่องขึ้นมาหน่อย คราวนี้ยังไงล่ะ ผู้หญิงคนนี้กลับขับไล่ไสส่งให้เราไปโรงเรียนซะอีก ไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยนะ บางทีมีตีเราเข้าให้อีก ภาษาอะไรนักก็ไม่รู้ เอามาให้เราหัดอ่านหัดเรียนใช่มั้ย ลองคิดดูนะ สัปดาห์หนึ่งต้องไปโรงเรียนตั้งห้าวันน่ะ มันภาระหนักหนาแก่เราแค่ไหน

แต่ พอถึงเวลาเราจะดูทีวี ดูหนังการ์ตูน นอนดึกขึ้นมาสักหน่อย ลองนึกย้อนไปสิ ใครกันเคี่ยวเข็ญให้เราไปนอนด้วย ตัวเองง่วงจะนอนคนเดียวก็ไม่ได้นะ ต้องบังคับให้เราไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ใช่มั้ย ที่พูดนี่ไม่ใช่ลำเลิกหรอกนะ เพียงแค่อยากให้เห็นใจกันบ้างเท่านั้น

วัน เวลาผ่านไป เราโตขึ้น แต่แม่ก็ยังไม่ยอมโตตามเราสักที ลูกอยากจะทำผมทำเผ้า แต่งเนื้อเเต่งตัวให้มันดูอินเทรนด์ ดูทันสมัย ใคร ใครกันเป็นตัวสกัดดาวรุ่ง พูดแล้วขนลุก ผู้หญิงคนนี้มีพัฒนาการไม่คืบหน้าไปไหนเลย ว่ามั้ย

โตขึ้นมาอีกนิด เราเริ่มกินอาหารได้ หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้ เละๆ เทะๆ มาบดให้เรากิน ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ ก็เอาวะ เอาซะหน่อย เคี้ยวไปเเจ่บๆ อย่างนั้นแหละ แม่คุณก็ยิ้มปลื้ม คงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะ กล้วยบดนะจ๊ะ เธอจ๋า ในปากฉันตอนนี้น่ะ ถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ แต่พอถึงเวลาเราจะดูทีวี ดูหนังการ์ตูน นอนดึกขึ้นมาสักหน่อย ลองนึกย้อนไปสิ ใครกันเคี่ยวเข็ญให้เราไปนอนด้วย ตัวเองง่วงจะนอนคนเดียวก็ไม่ได้นะ ต้องบังคับให้เราไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ใช่มั้ย ที่พูดนี่ไม่ใช่ลำเลิกหรอกนะ เพียงแค่อยากให้เห็นใจกันบ้างเท่านั้น วันเวลาผ่านไป เราโตขึ้น แต่แม่ก็ยังไม่ยอมโตตามเราสักที ลูกอยากจะทำผมทำเผ้า แต่งเนื้อเเต่งตัวให้มันดูอินเทรนด์ ดูทันสมัย ใคร ใครกันเป็นตัวสกัดดาวรุ่ง พูดแล้วขนลุก ผู้หญิงคนนี้มีพัฒนาการไม่คืบหน้าไปไหนเลย ว่ามั้ย




พอ เราสำเร็จจบการศึกษาเเล้วเป็นยังไง... เธอร้องไห้ครับ เชื่อเถอะว่าเธอต้องร้องไห้ ถ้าเราไม่เห็นก็แปลว่าเธอต้องแอบร้องไห้ มีอย่างที่ไหน เราคร่ำเคร่งร่ำเรียนมาแทบตาย แล้วตัวเองแท้ๆ ที่เป็นคนเริ่มเรื่อง พอเราเรียบจบแทนที่จะดีใจดันมาร้องไห้ มีอย่างที่ไหน

ดีนะว่าเราเข้าใจ คู่มือการเลี้ยงแม่ ก็เลยทำใจได้ ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ขอไปฉลองการสำเร็จการศึกษากับพวกเพื่อนๆ ที่นอกบ้านก่อน ก็แหม เรียนจบทั้งที จะมาให้นั่งดูผู้หญิงแก่ๆ นั่งร้องไห้ทำไมล่ะ ใช่มั้ย

เป็น หนุ่มเป็นสาวกันแล้วนี่ คราวนี้ใครๆ ก็ต้องอยากมีแฟน คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็เรื่องมาก ผมยาวไปมั่งล่ะ ดูไม่มีความรับผิดชอบมั่งล่ะ...แม่ แม่จะไปรู้อะไร แม่เคยคบกับเขาเหรอ

ไม่ใช่แค่เรื่องคู่ครองเท่านั้นนะ แม่เขายังอยากรู้ไปจนถึงเรื่องอาชีพการงานด้วยว่าเราจะไปทำอะไร อยากเป็นอะไร

แม่ ครับ แม่ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ยพวกเราจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของพวกเรา อนาคตของเรา ขอให้เราได้ตัดสินมันเอง แต่เรารับรองกับแม่ได้อย่างหนึ่งว่า เราจะไม่เป็นเหมือนแม่หรอก... เชย

นับ จากบรรทัดแรก จนมาถึงบรรทัดนี้ เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว สมควรที่พวกเราจะแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตนเองสักที ว่าแล้วเราก็ย้ายออกจากบ้านแม่ มายืนด้วยลำแข้งของตัวเอง อย่างที่แม่เคยพูดไง แล้วทำไมต้องมาทำตาละห้อยด้วยล่ะ วันที่เราย้ายออกมาน่ะ มันก็ไม่ได้ใกล้ มันก็ไม่ได้ไกลหรอกนะ ไอ้ที่ย้ายออกมาน่ะ แต่เวลามันรัดตัวจริงๆ ใช้โทร.คุยกันก็ได้นะแม่นะ

ถึง วันที่เรามีลูก แม่ยังพยายามอยากมาทำตัวเป็นภาระกับลูกเราด้วย เราบอกแม่ว่าไม่ต้องมายุ่งหรอก เราดูแลลูกของเราได้ เด็กสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยแม่แล้วล่ะ

แม่ อายุเกือบหกสิบปีแล้ว โทร.มาไอแค่กๆ บอกไม่ค่อยสบาย เราบอกแม่ว่าอย่าคิดมาก ในใจเรารู้อยู่แล้วว่าแม่พยายามเรียกร้องความสนใจ นั่นเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติของคุณแม่วัยนี้

จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง คุณโทร.กลับไปที่บ้านแม่ แต่... ไม่มีคนรับสายแล้ว อย่าเพิ่งตกใจ แม่อาจจะออกไปทำบุญที่วัดตามประสาคนแก่ก็ได้ ลองโทร.เข้ามือถือแม่ดูซิ...ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก...

อย่า เพิ่งด่วนสรุป มือถือแม่อาจจะแบตหมดก็ได้ ผู้หญิงคนนี้กระดูกเหล็กจะตายไป เธอต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ คิดฟุ้งซ่านไปได้ ยังไงแม่ก็ต้องรอเราอยู่เหมือนเดิมน่ะแหละ ไปหาเมื่อไหร่ก็ต้องเจอ อย่างมากแกก็อาจจะงอนนิดๆ หน่อยๆ พอเห็นหลานตัวเล็กๆ วิ่งเข้าไปกอดก็ขี้คร้านจะอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้ง หลายวันผ่านไป ทำไมแม่ยังไม่โทร.กลับมาอีกนะ ทำบุญตักบาตรก็ไม่น่าจะรอคิวนานขนาดนี้ ชาร์จแบตมือถือไม่เต็มก็เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นแบตเตอรี่รถสิบล้อป่านนี้ไฟทะลักแล้ว

วันนี้แวะไปหาแม่สักหน่อยดีกว่า ระหว่างทางที่คุณขับรถไป ลูกคุณซนเป็นลิงอยู่ข้างๆ ประโยคมากมายที่หลุดจากปากคุณ ล้วนเเต่เป็นคำที่แม่คุณเคยพูดมาแล้วทั้งสิ้น คุณเพิ่งสัมผัสได้ ภาพเก่าๆ มากมายที่ผู้หญิงคนนั้นทำวิ่งวนอยู่ในหัวคุณ ช่างเถอะ.. เดี๋ยวเจอเธอแล้ว คุณจะสารภาพผิด แล้วทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น แล้วคุณก็ได้เจอ คนที่คุณรู้สึกว่าเธอเป็นภาระให้กับคุณมาตั้งแต่เกิด

ผู้หญิงคนนั้น นอนตายในท่าที่คอยคุณมาตลอดชีวิต...

11 วิธีเอาใจแม่ (ให้ชื่นใจ)



1.พาแม่ไปตรวจสุขภาพ

คนเราเมื่อเริ่มสูงวัยพอสักอายุ 50 กว่าปีขึ้นไปแน่นอนว่าสุขภาพร่างกายจะเริ่มเสื่อม เหมือนรถที่ผ่านการใช้งานมาสัก 5-6 ปี ก็ต้องมีการซ่อมบำรุง ร่างกายก็เหมือนกัน ดังนั้นการได้ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี จะพอให้เราทราบได้ว่าคุณแม่เป็นโรคอะไรอยู่ มากน้อยแค่ไหน จะดูแลสุขภาพต่อไปอย่างไร การพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพประจำปีนอกจากจะทำให้คุณแม่ชื่นใจแล้ว ยังส่งผลดีกับสุขภาพกายอีกด้วย

2.พาแม่ไปทำสปา

การทำสปาถือว่าเป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้ธุรกิจสปามีมากมายหลากหลาย ทั้งสปาเพื่อสุขภาพและความงาม ทั้งนวดหน้า นวดศีรษะ นวดตัว นวดเท้า ทั้งแบบนวดไทยหรือนวดด้วยน้ำมันหอมระเหยแบบฝรั่ง การทำสปาถือเป็นการปรนนิบัติร่างกายอย่างดีเยี่ยมเพราะการทำสปามีครบทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ช่วยให้ผ่อนคลายหายเครียด ถือเป็นการตอบแทนร่างกายที่เหนื่อยล้ามาทั้งปีได้เป็นอย่างดี การพาคุณแม่ไปทำสปาจึงนับได้ว่าเป็นอีกรูปแบบของการให้ความสุขกับคุณแม่

3.พาแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ

การเดินทางถือว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ได้เป็นอย่างดี แต่ผู้ใหญ่มักจะเสียดายเงินไม่จ่ายค่าตั๋วแพงๆ ไปเที่ยวต่างประเทศ การ ได้เดินทางไปยังสถานที่ที่แตกต่างออกไป บรรยากาศหนาว อาหาร ผู้คน ที่ต่างไปจากเดิมจะสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดีรวม ถึงการพาไปดูสถาปัตยกรรมและร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เป็นที่ รู้จัก นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีซึ่งถือว่าเป็นโอกาสพิเศษที่คุณแม่จะได้รับ

4.พาแม่ไปดูโชว์ดีๆ

ปัจจุบันนี้มีการแสดงดีๆ ที่เป็นของคนไทยอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นการแสดงหุ่นละครเล็กของคณะโจหลุยส์ การแสดงของสยามนิรมิต การแสดงของโรงละครอลังการที่พัทยา หรือการแสดงของภูเก็ตแฟนตาซี หรือละครเพลงต่างๆ ที่เรียกได้ว่าคุณภาพดีทั้งแสง สี เสียง หรือจะเป็นการแสดงจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นนักร้องดังในยุคคุณพ่อคุณแม่ยัง หนุ่มสาว การแสดงกายกรรมต่างๆ เช่น กายกรรม กวางเจา การแสดงบัลเลต์ ซึ่งการแสดงในลักษณะนี้จะมีเพียงปีละครั้งหรือ 2-3 ปีครั้งถือว่าเป็นโอกาสพิเศษที่ได้มอบให้คุณแม่ ถือว่าเป็นการพาคุณแม่ไปย้อนอดีตอันน่าชื่นใจ

5.ซื้อหนังสือดีๆ ให้แม่

ขณะนี้ตลาดหนังสือของประเทศไทยเรา มีการพัฒนาไปมากทั้งรูปเล่มและเนื้อหา มีหนังสือรูปเล่มสวยๆ เนื้อหาดีๆ ทั้งเรื่องแปล เรื่องแต่งเอง แม้กระทั่งหนังสือภาพดีๆ ที่มีอยู่หรือหนังสือชุดที่มารวมเล่มใหม่ที่ทำรูปเล่มคลาสสิกน่าเก็บไว้สะสม เช่น ผู้ชนะสิบทิศ ผู้ดี เพชรพระอุมา หรือหนังสือพระหรือสถานที่สำคัญต่างๆ ที่พิมพ์สี่สีน่าสะสมอีกมากมายหนังสือต่างๆ เหล่านี้จะช่วยสร้างความสุขใจให้คุณแม่ได้ไม่น้อยทีเดียว

6.เปลี่ยนฟันชุดใหม่ให้แม่ได้รับประทานของอร่อยอย่างไร้อุปสรรค

หากคุณแม่อยู่ในวัยเกิน 60 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในวันที่ต้องใส่ฟันปลอม หรือถ้าอาวุโสกว่านั้นก็อาจจะต้องเปลี่ยนฟันปลอมเป็นชุดที่ 2 หากคุณพ่อคุณแม่มีปัญหาเรื่องปากและฟันก็มักจะมีปัญหาในการเคี้ยวอาหาร หรือรับประทานอาหารได้ไม่อร่อย หรือถ้าเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดก็จะมีปัญหาในเรื่องระบบการย่อย ท้องอืดท้องเฟ้อได้โดยง่ายมีปัญหาอื่นๆ

ตามมาอีก การได้เปลี่ยนฟันชุดใหม่จะช่วยให้ชีวิตท่านดีขึ้น แต่โดยธรรมชาติของพ่อแม่มักจะขี้เหนียวเสียดายเงินไม่ยอมเปลี่ยนอะไรง่ายๆ หากสิ่งของนั้นยังพอใช้งานได้ การแสดงออกซึ่งความรักหวังดีต่อพ่อแม่ด้วยวิธีนี้นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี ไม่น้อยถือว่าคุณลูกใส่ใจในรายละเอียดในชีวิตของท่าน

7.ซื้อคอร์สออกกำลังกายให้แม่

เป็นธรรมดาของมนุษย์เมื่อเริ่มอายุมากก็มักจะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้นว่า กันว่าโดยธรรมชาติของคนนั้นน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างน้อยปีละ 2 กิโลกรัม เมื่อน้ำหนักเกินมาตรฐานหรือที่เรียกว่าอ้วนก็จะทำให้มีปัญหาต่างๆ ตามมาเช่น ปวดขา ปวดเข่า ไขข้อไม่ดี เหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก การออกกำลังกายจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพของพ่อแม่

8.ซื้อเครื่องประดับให้แม่

ผู้หญิงกับเครื่องประดับเป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน อายุเท่าใด ถือว่ายังต้องใช้กันอยู่เสมอ หากคุณแม่ยังอยู่ในวัยทำงาน การซื้อเครื่องประดับเก๋ๆ คุณภาพดี เพื่อให้คุณแม่ใช้ใส่ไปทำงานก็เป็นเรื่องที่ดี หากคุณแม่เป็นแม่บ้าน หรือเกษียณแล้วนานๆ ออกงานทีการซื้อเครื่องประดับเป็นอัญมณีมีค่าหรือจะเป็นทองรูปพรรณก็ได้เช่นกัน

เลือกในแบบที่เหมาะสมกับบุคลิกและการใช้งานของคุณแม่ หากไม่ชอบของสำเร็จรูปที่มีจำหน่ายทั่วไป ร้านจิวเวลรีหลายร้านก็รับทำและออกแบบให้ด้วย โดยอาจจะเลือกอัญมณีสีที่เข้ากับวันเกิดหรือเดือนเกิดของคุณแม่ก็ได้ ภายใต้งบประมาณที่คุณสามารถกำหนดได้และ ในอนาคตสมบัติเหล่านั้นก็จะต้องตกมาเป็นของลูกของหลานอยู่ดีไม่ได้สูญหายไป ไหน ยิ่งนานวันอัญมณีเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มคุณค่าทั้งราคาและคุณค่าต่อจิตใจ

9.ซื้ออาหารเสริมเพื่อบำรุงสุขภาพให้

สุขภาพเป็นเรื่องจำเป็นบางครั้งการรับประทานอาหารก็ไม่สามารถกินได้ครบ 5 หมู่ได้ในวัยผู้ใหญ่ที่ต้องการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอมากกว่าคนวัยหนุ่มสาว การได้รับอาหารเสริมอาจเป็นเรื่องที่สำคัญ เดี๋ยวนี้อาหารเสริมมีมากมายที่จะให้เลือกได้ตามความเหมาะสมกับสุขภาพ เช่น น้ำมันจากกระดูกปลาวาฬช่วยบำรุงผิวพรรณเพราะผู้สูงวัยมักจะผิวแห้งมาก วิตามินบีรวมต่างๆ หรือวิตามินบำรุงสมองเพื่อป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อม ซึ่งวิตามินบางตัวจะช่วยชะลอระยะเวลาในการเกิดให้ช้าลง เรียกว่ามีมากมายหลากหลายประเภทให้คุณเลือกได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

10.ตัดแว่นตาใหม่ให้แม่

สำหรับ ผู้ที่วัยเกิน 40 ปีขึ้นไปเริ่มมีปัญหาเรื่องสายตา บางคนตายาว บางคนทั้งสั้นทั้งยาว แถมเอียงเข้าไปด้วย เรียกว่าปัญหาหลายด้าน การให้ความใสกระจ่างกับสายตาของแม่ ให้แม่ได้อ่านหนังสืออย่างชัดเจนมีความสุข มองดูหน้าลูกหลานด้วยความใสชัด จะทำให้คุณแม่ชื่นใจ เดี๋ยวนี้กรอบแว่นราคาแพง ผู้ใหญ่จะใช้จนเก่าก็จะยังไม่ยอมเปลี่ยนใหม่การหาแว่นกรอบสวยๆ เก๋อันใหม่ให้คุณแม่ ก็น่ารักดีไม่น้อย เวลาท่านเดินเหินไปไหนจะได้สะดวกถ้าสายตาฝ้าฟางไม่ชัดเจนประเดี๋ยวจะพลาดพลั้งหกล้มได้โดยง่าย

11.ลดละเลิกนิสัยแย่ๆ ที่แม่ไม่ชอบ

ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก แน่นอนว่าลูกเกือบทุกคนมักจะมีนิสัยไม่ดีสักข้อสองข้อที่แม่จะพยายามพร่ำสอน ตั้งแต่เด็กที่เป็นนิสัยเสียๆ ของเรา เช่น ขี้เกียจ ชอบเถียงแม่ ใช้เงินเปลือง สูบบุหรี่ กินเหล้า เจ้าชู้จัด แล้วเราจะรู้ดีว่านิสัยแบบนี้แม่ไม่ชอบ ลองให้ของขวัญวันแม่ปีนี้ด้วยการจะเลิกบุหรี่ เลิกเหล้าเลิกใช้เงินเปลือง หยุดโต้เถียงกับแม่สักที นิสัยเหล่านี้ถ้าเราทำให้แม่ได้รับรองได้ว่าแม่จะชื่นใจสุดชีวิตทีเดียว

ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วลองเลือกทำให้แม่สักข้อสองข้อจะดีไม่น้อย แม่ให้เรามาเยอะแล้ว ลองเปลี่ยนเป็นเราเป็นผู้ให้แม่บ้างดีไหมค่ะ แม่จะได้ชื่นใจ ถึงวันนี้คนรุ่นแม่ก็อยู่ในวัย 50-60 กว่าปีกันแล้วทั้งนั้น เวลาของท่านเหลือน้อยแล้วเรียกว่าเริ่มนับถอยหลังแล้ว อะไรทำให้แม่ได้ก็รีบๆ ทำเสียเถอะ ชีวิตนี้ก็มีแม่แค่คนเดียว อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง มีแม่ให้รักให้กอดก็ดีแล้ว

ต่อไปถ้าอยากบอกรักแม่ แต่แม่ไม่ได้อยู่ให้บอกแล้วจะเสียดายเวลานะคะต้องไปบอกแม่ต่อหน้ารูปของท่าน คงไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ที่สำคัญความกตัญญูรู้คุณเป็นสิ่งที่ค้ำชูชีวิตของลูกให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ อย่าลืมบอกรักแม่กันบ้างนะคะ


ข้อมูลจาก

ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

อีืกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ - ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก เกตุเสพย์สวัสดิ์




คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี
1 ปี เท่ากับ 365 วัน
แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที
ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์
อุแม่เจ้า........แสดงว่า
เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา
แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน
เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย
และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ
แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข
ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม
สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน
น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ
ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี
แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ
อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!
อุแม่เจ้าเทค 2
คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง
สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!
คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู
กางปฏิทินออกกว้าง ๆ
เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้
นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว
นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่
เราไม่ค่อยได้มองมัน
เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี
แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน
และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น ......
คำนวณเองบ้างซิว้อยย.....
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่
ผลลัพธ์ที่ได้
เราจะทำยังไงกับมันดี .....
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ
นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า ' เงินเดือน '
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ
ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ
ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน
เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่า กูจะเป็นอะไรดี
บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น
ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น
แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความ
รู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ
ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด
ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย
บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล
เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี
อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ
ลองคิดแบบนี้บ้าง
ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ
ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า
เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว
ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก
ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง
รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว
ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้
กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล


....... คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด
ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น
แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง
เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก
ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ
อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก
รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ
เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่
โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา

จาก : FW Mail

ส่วนลึกของหัวใจฉัน ยังมีเธออยู่กับฉัน ทุกช่วงเวลา


http://2.3qdc.com/sakid/2009/07/10/sakid_love_0.out.jpg

ส่วนลึกของหัวใจฉันยังมีเธออยู่กับฉันทุกช่วงเวลา
ไม่ว่าทุกข์ สุข หรือเหงา เธอยังอยู่กับฉันเสมอ
ถึงแม้ว่ามันเป็นแค่ “ความรู้สึกที่ฉันมี”
แต่ฉันก็ยังภูมิใจที่ฉันยังสามารถเก็บความรู้สึก ๆ ดี ๆ
ที่เธอเคยให้ไว้กับฉัน ฉันยังจำวันแห่งความสุขของเราได้
ถึงแม้ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สั้น ๆ แต่ฉันจะขอจดจำมันไปตลอด
ถึงแม้ว่าคนข้าง ๆ ฉันตอนนี้มันไม่ใช่เธอ…
แต่ฉันก็จะยังคงขอเก็บเธอไว้ในส่วนลึกของหัวใจของฉัน
ฉันอาจจะเคยเสียใจ ร้องไห้ ทรมาน เหงา…
เวลาที่เธอจากไป….
แต่ฉันจะลบสิ่งเหล่านั้นออกไป..
ฉันจะเก็บ “ความสุข” ไว้กับฉันตลอดไป
เรามีสิทธิ์เลือกที่จะเก็บความรู้สึกดี ๆ และเลือกที่จะลบ
ความทรงจำที่ไม่ดีออกไปได้
และฉันจะเก็บสิ่งดี ๆ ให้อยู่กับฉันไปตราบนาน

แม้ว่าวันนี้ หรือวันต่อไป ไม่มีเขาอยู่ข้างกายแล้ว อย่างน้อย ก็ขอให้จดจำวัน-ช่วงเวลาดีๆ เอาไว้นะคะ ^-^


ขอบคุณข้อมูลจาก sakid.com

ความรักและก้าวแรก




เราชอบเขา เพราะเขาเป็นเขาหรือเพราะปัจจัยภายนอกอย่างอื่น
เรายังคงความเป็นตัวเองได้หรือไม่ขณะที่เรามีเขาเข้ามาผูกพันด้วย
เขาคือคนที่เราไว้ใจและเชื่อมั่นได้มากน้อยแค่ไหน
และที่สำคัญ เรารู้สึกมีความสุขเมื่อได้อยู่กับเขา มากกว่าการอยู่คนเดียวหรืเปล่า
..ถ้าหากคำตอบที่ได้หลายๆ ข้อนี้ออกมาเป็นบวกเสียส่วนใหญ่
เราก็ไม่น่าจะต้องรีรอที่จะยอมตกหลุมรักใครสักครั้ง

..เพราะชีวิตของคนเราไม่ได้ยืนยาวสักเท่าไหร่
การได้พบเจอคนที่ถูกใจ บางทีมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก
แต่สิ่งที่สำคัญ คือ เมื่อได้รักแล้วเราต้องรักแบบเข้าใจในความรักด้วย
อย่าเพิ่งรีบคาดหวังว่าจะต้องเป็นรักแท้ที่ยั่งยืน
ปล่อยให้ความรักค่อยเติบโต ให้มิตรภาพที่มีค่อยๆ งอกงามไปตามธรรมชาติ
พร้อมๆกับการเรียนรู้แบบค่อยเป็นค่อยไป

..ในโลกของความรัก เดี๋ยวนี้มันไม่ได้มีคำตอบแค่
"รัก" กับ "ไม่รัก" เท่านั้น มันยังมีคำว่า ความเหมาะสม
การยอมรับ ครอบครัว หน้าที่การงาน และอะไรอื่นๆ อีกเยอะแยะ

เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยากจะรักใคร เรารักได้
แต่อย่าคาดหวังว่าจะได้ "รัก" กลับคืนมาในรูปแบบที่เราต้องการ
เมื่อเรารักเป็น เราก็จะสามารถยอมรับได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร แม้ความรักอาจะไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
แต่มันก็มีค่า ต่อการมีชีวิตอยู่
...เป็นแรงบันดาลใจให้เราทำอะไรได้มากมาย...



ส่วนคนที่ผิดหวังกับความรักมา
คุณอาจมีอดีตที่เลวร้าย แม้คุณจะสามารถเก็บมันไปคิดทบทวน
เพื่อเป็นบทเรียนที่ดีได้ แต่ไม่มีประโยชน์หรอกที่จะจมกับมันตลอดไป

ลองเปิดใจที่จะเรียนรู้กับความรักอีกสักครั้ง
บางทีคุณจะพบว่า ความสุขจากการได้รักนั้น
ไม่ได้เกิดจากคนอื่นเลย
แต่มันเป็นความสุขที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง
จากหัวใจเราเอง และเมื่อรักเป็นของเรา
ไม่ว่าคนที่เรารู้สึกรักนั้นจะจากไปไหน
เราก็ไม่จำเป็นต้องฟูมฟาย กับการจากไปของเขา
เพราะถึงอย่างไร รักที่คุณมีนั้นมันก็ยังอยู่กับตัวคุณเสมอ



ของคุณข้อมูลจาก http://www.tamdee.net/

ความรัก... กับการอ่านหนังสือ




ให้ความรักเป็นหนังสือ

เค้าว่ากันว่า... อ่านหนังสือสักเล่ม ต้องใช้เวลา

เช่นเดียวกัน ... เราคงไม่รู้จักใครสักคนได้ดีตั้งแต่วันแรก

เค้าว่ากันว่า ... อย่าตัดสินหนังสือดีดี แค่ปกมันสวย

เช่นเดียวกัน ... คนหน้าตาดีอาจไม่ดีเสมอไป

เค้าว่ากันว่า ... คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย ก็ใช่ว่าจะมีหนังสือเล่มแรกในชีวิตที่ชอบไม่ได้

เช่นเดียวกัน ... คนที่เราไม่คิดอยากจะรู้จัก อาจะเป็นคนที่ดีที่สุดในชีวิตเราก็ได้



เค้าว่ากันว่า ... การชอบหนังสือสักเล่ม ไม่ได้หมายความว่า หนังสือเล่มนั้นดีทุกหน้า

เช่นเดียวกัน ... การรู้สึกดีกับใครสักคน ไม่จำเป็นว่าเค้าจะต้องไม่มีข้อเสียอารายเลย

เค้าว่ากันว่า ... อย่ารู้สึกเสียดายเวลากับการอ่านหนังสือบางเล่มจนจบแล้วพบว่าเป็นหนังสือที่ไม่ชอบ

เช่นเดียวกัน ... จงรู้สึกดี กับการใช้เวลากับใครสักคนหนึ่งอย่างเต็มที่ แม้ว่าวันหนึ่งจะรู้ว่า

เขาคนนั้นไม่ใช่เลยสักนิด เพราะอย่างน้อย ต่อจากนี้ไป เราจะได้เลือกคนที่ถูกและใช่ สักที

คำมั่นสัญญา ตำนานรักแท้แห่งเมืองเชียงคาน

มาจากรายการคนค้นค้นครับ...



นับ ถอยหลังไปอีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงวันวาเลนไทน์ วันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงความรักที่ใครหลายคนให้ความสำคัญกับ วันนี้ ไม่ว่าใครจะนิยามความรักว่าเป็นของคู่กัน ความเหมือน ความพอดี ความลงตัว หากแต่นิยามความรักของตาลอบที่มีต่อยายทองนั้น กลับมองว่าวันวาเลนไทน์ที่จะมาถึงนั้นไม่เคยมีความหมายต่อตาและยายเลย เพราะชีวิตรักที่ตาและยายได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่า 50 ปี นั้นไม่เคยมีวันไหนที่ความรักของตาที่มีต่อยาย และยายมีต่อตานั้นลดน้อยลงไปตามกาลเวลาเลย หากแต่ความรักของทั้งคู่กลับเพิ่มพูนขึ้นสวนทางกับสังขารที่เริ่มจะโรยรา

“ สำหรับตาวันนี้มันก็เป็นแค่วันธรรมดาๆวันหนึ่ง ไม่มีความหมายอะไรเลย ดอกกุหลาบมันจะสู้สิ่งที่เราทำดีให้กันทุกวันได้ยังไง มันเทียบกันไม่ได้หรอก ตาไม่เห็นว่ามันจะสำคัญกับชีวิตตรงไหนเพราะถึงไม่มีวันนี้ ยังไงตาก็ยังรักยายเท่ากันทุกวัน ”

อมร สีสุภเนตร หรือที่ชาวบ้านในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย รู้จักกันในนามของ “ ตาลอบ” ส่วนภรรยาคู่ทุกคู่ยากชาวบ้านเรียกขานกันว่า “ยายทอง” พื้นเพ เดิมยายทองเป็นคนอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ส่วนตาลอบเป็นคนเชียงคาน จังหวัดเลย ปัจจุบันสองตายายอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ สภาพเก่าๆหลังหนึ่งตามลำพังสองคนโดยมีลูกๆ คอยดูแลอยู่ห่างๆ เมื่อมองเข้าไปในบ้านจะสังเกตเห็นว่าบ้านของตาเสมือนเป็นโรงพยาบาลขนาดย่อมๆ เพราะอุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในการดูแลยายนั้น ตาได้ดัดแปลงให้เหมือนกับทางโรงพยาบาล ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ดูแลยายได้อย่างเต็มที่
ย้อนไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ตาลอบ ซึ่งเป็นช่างตัดผมหนุ่มฐานะยากจนได้พบรักกับยายทอง แม่ค้าขายอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามประจำหมู่บ้านในงานรำวงสร้างโบสถ์ ที่วัดป่ากลาง อำเภอเชียงคาน หลังจากที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันมา 5-6 ปี จนมั่นใจในความรักที่มีให้ต่อกัน ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากขอหญิงสาวที่เขารักแต่งงาน เป็นงานแต่งงานที่เรียบง่าย ไม่มีพิธีกรรมใหญ่โต ไม่มีเงินสินสอดทองหมั้นมากมาย หากแต่มีเพียงคำมั่นสัญญาที่ชายหนุ่มมอบไว้ให้กับหญิงสาวที่เขารักว่า จะครองรักและดูแลกันตลอดไป ทั้งในยามทุกข์และยามสุขจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตจะเดินทางมาถึง

เวลาผ่านมา 50 ปี ทั้งคู่ครองรักกันจนกระทั่งแก่เฒ่า และตลอดเวลาที่ผ่านมา ความรักของคนทั้งคู่ที่มีให้กับกันก็มากพอและสม่ำเสมอพอที่จะทำให้ชีวิตรัก ของคนคู่นี้กลายเป็นตำนานรักแท้ที่น่าจดจำ แต่จะเป็นเพราะสวรรค์บัญชาหรือฟ้ากำหนด จู่ๆ ปี 2538 ยายทองก็ล้มป่วยลงด้วยการเป็นอัมพฤกษ์ทางด้านซ้าย ซึ่งก็พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา อาการของยายทองก็กำเริบทรุดหนักลงไปอีก จากอัมพฤกษ์กลายเป็นอัมพาต ไม่สามารถพูดคุยกับตาลอบได้อีก นอกจากส่งเสียงร้องไห้ซึ่งบางครั้งก็มีแต่เสียงร้อง บางครั้งก็มีแต่น้ำตา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการสื่อสารเพียงอย่างเดียวที่ตาลอบรับรู้และเข้าใจเสมอ ว่ายายต้องการอะไร

“ ยายเขาร้องไห้ เพราะว่าเขาอยากจะพูดกับเรา แต่เขาพูดไม่ได้ เขาจึงบอกเราด้วยการร้องไห้ออกมา พอตาได้ยินเสียงไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ตาก็จะเดินไปพูดกับเขา หรือไม่ก็ต้องส่งสียงตอบกลับไป ส่วนใหญ่ตาจะบอกเขาว่า “ อย่าร้องเลย เราอยู่ตรงนี้แล้ว ” บางทีก็บอกยายว่า “ เราจะอยู่กับเธอ จะดูแลเธอไปจนกว่าจะตายจากกัน” ที่บอกอย่างนี้เพื่อให้ยายรู้ว่าตาอยู่ใกล้เขาไม่ได้หนีไปไหน” ปฏิเสธ ไม่ได้ว่า น้อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นภาพฝ่ายชายดูแล ปรนนิบัติฝ่ายหญิง หากแต่สิ่งที่ตาทำนั้นได้พิสูจน์ให้โลกรู้ว่าความรักของตาที่มีต่อยายนั้น เป็นตำนานความรักอันยิ่งใหญ่ที่ใครๆ ต่างก็แสวงหา

“ ตาอยากใช้ชีวิตอยู่กับยายจนวินาทีสุดท้าย เราจะต้องไม่ทอดทิ้งกัน เราต้องมั่นคงต่อกัน ตาสัญญากับยายว่าจะดูแลยายให้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้าย ตาตั้งใจรักษายายให้ดีที่สุด ตาทุ่มเทชีวิตให้ยายทั้งหมดเลย เพราะว่ายายมีความหมายกับตาสุดชีวิตเลย ทุกวันนี้ตายังมีความหวังอยู่ว่ายายจะอาการดีขึ้นและกลับมาพูดกับตาได้ เหมือนเคย เราต้องอยู่แบบมีความหวัง เพราะความหวังนี่แหละที่จะทำให้เรามีกำลังใจดูแลยายต่อไปจนกว่าจะตายจากกัน ไปข้างหนึ่ง” หากก่อนที่จะจากกันไปในชาตินี้ใจลึกๆ ตาลอบก็อยากให้ปาฎิหารย์นั้นมีจริง เพราะอยากให้ยายฟื้นขึ้นมาอีกซักครั้ง เพื่อที่จะถามข้อข้องใจที่ชายคนหนึ่งเก็บไว้มาหลายปีว่าที่ผ่านมาเขาทำดีพอ ที่สามีคนหนึ่งจะทำให้ภรรยาที่เขารักที่สุดได้หรือไม่

ถึงแม้ว่าบั้นปลายชีวิตอันแสนสุขจะถูกพรากไป และแทนที่ด้วยความทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยของอีกฝ่ายหนึ่ง คำมั่นสัญญาทุกคำที่ตาลอบเคยมอบไว้ให้กับยายทองก็ยังไม่มีคำใดหรือตัวอักษร ตัวใดเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ตลอดระยะเวลา 12 ปี ที่ยายทองล้มป่วย แทบจะทุกนาทีของชีวิตตาลอบได้มอบให้กับการเฝ้าดูแลประคบประหงมยายทองอย่าง ใกล้ชิด ไม่เว้นแต่ยามหลับหรือยามตื่น

“ ตาดูแลยายไม่เคยห่าง ตาต้องดูแลทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่อง อาบน้ำ เช็ดตัว ไปจนถึงเรื่องการเช็ดอึ เช็ดฉี่ อาหารการกิน อาการเจ็บป่วยต่างๆ เราต้องคอยสังเกตตลอดเวลา เวลาทำอะไรตาก็จะนึกถึงยายก่อนเสมอ ถ้ายายยังไม่นอนตาก็ยังไม่นอน หรือถ้ายายยังไม่ได้กินข้าวตาก็จะยังไม่กิน เพราะต้องป้อนยายก่อน” การ ดูแลปรนนิบัติยาย ตาลอบจะทำเพียงคนเดียวทุกครั้ง และตาจะใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยเป็นอย่างดี แม้แต่แพมเพอร์สตาก็จะไม่ใส่ให้ยายเพราะเกรงว่าจะอับชื้นและทำให้เป็นแผลกด ทับได้ ตาจึงไม่เคยเบื่อกับการที่ต้องคอยเช็ดอึ เช็ดฉี่อยู่ตลอดทั้งวัน เสื้อผ้าของยายตาก็จะไม่ซักผงซักฟอกเพราะกลัวยายจะแพ้และเป็นผื่น ฯลฯ “ทุก วันนี้ตากลัวว่ายายจะทิ้งตาไปไม่อยากให้ยายตายเลย อยากให้อยู่เป็นเพื่อนกัน อยู่เป็นคู่รักกันตลอดไป ตาไม่เคยคิดอย่างคนอื่นเลยว่าตายไปภาระจะได้หมดลง ไม่คิดเลย ”

ภาพที่ชาวเชียงคานเห็นจนชินตาคือภาพชายชราวัย 73 ปี ปั่นรถจักรยานที่มีเตียงพยาบาลพ่วงติดอยู่ด้านหน้า โดยมียายนอนลืมตาแน่นิ่งอยู่บนเตียงเคลื่อนที่ไปตามถนนหนทางต่างๆ รถคันนี้เป็นรถที่ตาลอบประดิษฐ์ขึ้นมาเองกับมือ เพราะถ้าจะซื้อเตียงแบบโรงพยาบาลนั้นก็เกินกำลังที่ตาจะมีได้ ด้วยความที่ตาเคยมีความรู้ทางช่างจึงต่อเตียงพยาบาลขึ้นมาและดัดแปลงต่อเติม ให้เตียงนั้นเคลื่อนที่ได้ และมีหลังคาคอยคุ้มแดดคุ้มฝนและมีมุ้งคอยกันยุงและแมลงต่างๆ ที่ตาทำเช่นนี้หวังเพื่อให้ยายอยู่ใกล้กับตาตลอดเวลาเพราะเกิดอะไรฉุกเฉิน ขึ้นมาตาจะได้ช่วยเหลือยายได้ทัน ดังนั้นเวลาตาจะไปไหนก็จะพายายไปด้วยเสมอ ใครที่เห็นรถของตาต่างก็อดไม่ได้ที่จะไม่เหลียวหลัง และต่างก็ตั้งข้อสงสัยไปต่างๆนานา บ้างก็นึกว่าเป็นรถซาเล้ง รถขายของ รถเก็บของเก่า บ้างก็ว่ารถขนศพ แต่ถึงอย่างไรตาลอบก็ไม่สนใจคำครหาเหล่านั้นเพราะสิ่งสำคัญที่ตาพายายออกมา อย่างนี้ก็เพื่อให้ยายออกมารับอากาศข้างนอก ให้ยายได้รับการทักทาย พูดคุยจากผู้คนต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ยายรู้สึกตัวมากขึ้น นอกจากนี้ตายังรู้ใจยายดีว่ายายชอบให้ตาพาเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ตาจึงมักปั่นเตียงเคลื่อนที่คู่ใจคันนี้พายายไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่มีความสำคัญๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นสถานที่พบรักกัน สถานที่ที่ทำมาหากินด้วยกัน ทั้งนี้ตาทำเพื่อพายายไประลึกถึงความหลังอันงดงามเพื่อกระตุ้นความจำ ความรู้สึกของยายและอย่างน้อยความหลังเหล่านี้เสมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยงความ เศร้าหมองของชะตากรรมที่ทั้งคู่ต้องเผชิญอยู่ได้ไม่มากก็น้อย

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตาลอบได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าสัญญาที่ชาย หนุ่มมอบไว้กับหญิงสาวอันเป็นที่รักเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้วนั้น ไม่ใช่แค่ลมปาก หรือถ้อยคำหวานหู ตามแรงปรารถนา หากแต่เป็นถ้อยคำที่ออกมาจากความรู้สึกข้างในหัวใจ ที่มีที่ว่างให้เพียงแค่หญิงสาวที่เขารักเพียงคนเดียว คำมั่นสัญญาที่ตาลอบมอบให้จึงเป็นพันธะสัญญาที่ถูกจารึกลงบนหินผา ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ก็ไม่มีวันลบเลือนและยังทำอย่างซื่อตรงสม่ำเสมอ ไม่ต่างอะไรกับการขึ้นลงของดวงตะวัน ที่จะเป็นอยู่เช่นนั้นชั่วนิรันดร์

..........ซึ้งเลย...

บทลาของการเริ่มต้น






บทลาของการเริ่มต้น


แจกันน้อยเดินทางมาจากดินแดนหนึ่งที่มีความรักลึกซึ้งล้ำค่า
แต่ทว่ามิอาจมอบรักแด่ดอกไม้ดอกใดได้
ทำไมนะหรือ ก็เพราะมันเจอดอกไม้ที่สวยสดงดงาม
หากทว่ามันยังไม่เจอดอกไม้แห่งรักที่แท้จริง

วันนี้หัวใจเหนื่อยนักยิ่งไขว่คว้ายิ่งไกลยิ่งห่าง
ความเป็นจริงที่โหดร้าย ได้กัดกร่อนก้อนเนื้อเท่ากำมือที่เรียกว่า “หัวใจ” จนบอบช้ำ
ในทางกลับกันมันทำให้หัวใจนี้เข้มแข็งขึ้น
ขอบคุณวันเวลาที่นำพาเธอมาให้พบ
ละครบทนี้เดินเรื่องด้วยความเหงา เศร้า รอยยิ้ม คราบน้ำตา
สุดท้ายตัวเอกของเรื่องคือ “ความว่างเปล่า”
จะมีใครสักกี่คน ที่จะต้องการรู้ตอนจบจริงๆของเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำ
และไม่มีวันเลือนหายไปจากใจ
เพราะในชีวิตจริงนั้น……..
มีอยู่หลายเรื่องที่เราจำเป็นต้องรู้ตอนจบ
แม้ว่าจะไม่อยากรับรู้ก็ตาม
ฉันเดินทางมาไกล ไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ ณ จุดเดิม
ในความรู้สึกลึกๆ ข้างใน
ความรู้สึกนั้นยังคงงดงามเสมอ
ถ้าทำได้อยากหยุดทุกอย่างไว้ ณ ตรงนี้
ตรงที่ความรู้สึกดีๆ ยังคงมีอยู่
หยุดพักปล่อยวางทุกอย่างไว้ข้างหลัง
จากนั้นก้อนเนื้อที่เรียกว่า “หัวใจ” นี้แหละจะพาสองเท้านี้ก้าวไป
ทุกอย่างจบลงแล้ว วันพรุ่งนี้เป็นของเรา
…………………………………………….
มิตรภาพมั่นคง ยืนนาน ต้องผ่านบทเรียน คืน วัน
และความผันแปรทั้งหลาย
ณ วันหน้าผากยับย่น เส้นผมกลายเป็นสีเทา
ถนอมมิตรภาพแสนงามไว้ในดวงใจ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.soccersuck.com/

รอยบนผืนทราย


http://www.painaima.com/old2/resources/webboard/wb_5_1_1221_75.jpg

เพื่อนสนิทสองคนเดินทางท่องเที่ยวร่วมกัน

ระหว่างยํ่าเท้าผ่านทะเลทราย

ทั้งสองโต้เถียงกันรุนแรงจนเพื่อนคนหนึ่งโมโหมาก

ตบหน้าเพื่อนอีกคน ผู้ถูกตบหน้าเจ็บปวดทั้งกายและใจ

เขาไม่พูดอะไรเลย ขณะที่เขียนข้อความหนึ่งลงบนทราย

"วันนี้...เพื่อนที่ดีที่สุดของฉันตบหน้าฉัน"

ทั้งคู่เดินทางต่อไป เมื่อพบโอเอซิสแห่งหนึ่งจึงตัดสินใจอาบนํ้า

เพื่อนคนที่ถูกตบหน้าพลัดตกนํ้าและจมลงเรื่อยๆ

อีกคนจึงรีบช่วยเพื่อนให้พ้นความตาย เมื่อหายตกใจแล้ว

คนจมนํ้าก็เขียนข้อความลงบนก้อนหิน

"วันนี้...เพื่อนที่ดีที่สุดของฉันช่วยชีวิตฉันไ ว้"

เมื่อเพื่อนถาม เพื่อนก็ยิ้มแล้วตอบว่า

"เมื่อเพื่อนทำร้ายเรา เราจะบันทึกไว้บนผืนทราย

เพื่อให้สายลมแห่งการให้อภัยลบความเจ็บปวดนั้นทิ้งไป

และเมื่อเพื่อนทำในสิ่งประเสริฐสุดให้

เราจะจารึกไว้บนก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ

ซึ่งลมพายุไม่สามารถลบมันออกได้..."


เพราะ.....".เพื่อนแท้มิได้หาง่ายๆเหมือนแฟน " ว่ามะ?

ชอบ หรือ รัก


http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/281/1281/images/love8.jpg

ความแตกต่างระหว่าง ,,รัก,, กะ,,ชอบ,,


ต่อหน้าคนที่คุณรักหัวใจคุณเต้นรัว
ต่อหน้าคนที่คุณชอบคุณรู้สึกมีความสุข

ต่อหน้าคนที่คุณรักฤดูหนาวเป็นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ
ต่อหน้าคนที่คุณชอบฤดูหนาวเป็นฤดูหนาวที่งดงาม

ถ้าคุนจ้องหน้าคนที่คุณรักคุณจะหน้าแดง
ถ้าคุณจ้องตาคนที่คุณชอบคุณจะยิ้มออกมา

ต่อหน้าคนที่คุณรักคุณไม่สามารถพูดทุกสิ่งในใจคุณได้
ต่อหน้าคนที่คุณชอบคุณทำได้

ต่อหน้าคนที่คุณรักคุณจะเขินอาย
ต่อหน้าคนที่คุณชอบคุณเปิดเผยความเป็นคุณได้

คนที่คุณรักมักเข้ามาอยุ่ในใจคุณทุก2นาที

คุณไม่สามารถสบตาคนที่คุณรักตรงๆได้
แต่คุณยิ้มและสบตาคนที่คุณชอบตรงๆได้

เมื่อคนที่คุณรักร้องไห้คุณจะร้องไห้ไปกับเขา
แต่เมื่อคนที่คุนชอบร้องไห้คุณจะปลอบเขา

ความรู้สึกรักเริ่มต้นจากดวงตา
ความรู้สึกชอบเริ่มต้นที่หู

ฉะนั้นถ้าคุณจะเลิกชอบคนที่คุณชอบก็แค่ปิดหูของคุณเท่านั้นก็พอ

แต่ถ้าคุนพยายามจะปิดตา รักจะกลายเป็นนํ้าตา

และเมื่อคุณเปิดตาขึ้นอีกครั้ง

.... คุณก็จะได้รู้ว่า

สิ่งที่คุณเสียไปคือคนที่คุณรักมากที่สุด

เคยไหมที่ตกหลุมรักเพื่อน


http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/entertain/213058.jpg

เคยไหมที่ตกหลุมรักเพื่อน

หญิงชายสมัยนี้เป็นคู่ซี้กันมากขึ้น มากกว่าเพศเดียวกัน
ร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วยกัน กระทั่งเพื่อนๆ มองว่า
เป็นคู่รัก มากกว่า เพื่อน
เพราะรู้และเข้าใจทุกอารมณ์ของกันและกัน
บางคู่เมื่อหญิงและชาย แยกไปมีคนรักอย่างจริงจัง
ฝ่ายที่เหลืออยู่ จะรู้สึกเหงาและเดียวดาย
ส่วนผู้ที่จากไป จะรู้สึกกังวล ห่วงใย
กระทั่งคู่รักเกิดความหึงหวง ต้องแยกจากกันอย่างจริงจัง
แม้จะอาลัยอาวรณ์เพียงใดก็ตาม

หลายคนถูกเพื่อนตั้งคำถาม "ทำไมไม่จีบเป็นแฟนซะเลยหละ"
ผู้หญิงจะตอบว่า "รู้ไส้รู้พุง"
ผู้ชายจะตอบว่า "กระโดกกระเดกเหมือนม้าดีดกระโหลก"
แต่ทั้งสอง รู้ซึ้งถึงทุกอารมณ์ของกันและกัน
รู้ในสิ่งที่ชอบ ไม่ชอบ กิน ไม่กิน แทบจะพูดได้ว่า
แค่ขยับตัวก็รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึก และต้องการอะไร
การรู้ไส้ รู้พุง กันมากเกินไป ทำให้รักกันไม่ได้
เปล่าเลย - ความจริงคือ
คนสองคนไม่เคยมีบรรยากาศของความหวานซึ้ง อาจจะเคยมี
แต่ต่างฝ่ายต่างมองเห็นเป็นเรื่องขบขัน

คนแบบนี้หวงเพื่อนยิ่งกว่าจงอางหวงไข่
กว่าคนที่มีหัวใจจะบุกทะลวงผ่านมาได้
ต้องใช้ความพยายาม จนเพื่อนรักยอมรับ
คู่ซี้แบบนี้จำนวนมากต้องทนอยู่กับความเจ็บปวด
เมื่อสูญเสียอีกคนไป ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายจากไปก่อนเสมอ
ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงอ่อนไหว แต่เธอกลัว กลัวถูกทิ้ง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเป็นเพื่อนที่เธอรัก รักมาก
แต่เธอไม่รู้ว่า วันใดเขาจะมีคนรัก และจากเธอไป
ด้วยเหตุนี้
ผู้หญิงจึงตอบรับความรักของชายหนุ่มที่มาบอกรักเธอ
เพื่อนซี้บางคนถึงกับโวยวายว่า จะมีแฟนทำไมไม่บอก
เธอจะบอกเขาได้อย่างไร ในเมื่อเธอแคร์ความรู้สึกของเขา
กลัวเขาเจ็บปวด กลัวเขาโกรธ... ถึงอย่างไร
เธอไม่มีทางออก แม้ว่า
บางครั้งแววตาของเขาจะเต็มไปด้วยแววตัดพ้อต่อว่า
เพื่อซี้บางคนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ตะคอกถามว่า
"อยากมีแฟนทำไมไม่บอก ฉันหาให้ก็ได้" หรือ
"ฉันนี่ไงแฟนเธอ แหม! คนเขารู้กันทั่ว"
รู้ว่าทั้งสองเป็นคู่ซี้กัน

อันที่จริง ความสัมพันธ์ ความผูกพันธ์ของคนสองคน
สนิทแนบแน่นกว่าคนรัก
และคนรักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับเพื่อนซี้เสมอ เช่น
จะต้องคอยบอกคนรักว่าชอบไม่ชอบ จึงคิดถึงเพื่อนซี้ว่า
ถ้าเป็นเพื่อนซี้ ไม่ต้องให้บอกว่า ไม่กิน ไม่ชอบ ไม่ไป ไม่เอา
การแยกจากเพื่อนซี้กลายเป็นความระทมขมขื่น
อันที่จริง การที่คนสองคนมีความเข้าใจกันอย่างถ่องแท้
แม้บนความเข้าใจนั้นจะอยู่บนพื้นฐานของความก้าวร้าวบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
คู่รักบางคู่โกรธกัน กล่าวคำหยาบคายยิ่งกว่าเพื่อนกับเพื่อน

คำว่า "เพื่อน" ต่างหาก ที่กางกั้น "ความรัก"
ความรู้สึกละอายใจเกินไป ไม่กล้าเอ่ยคำว่า "รักเธอ"
ความสนิทสนมมากเกินไป เกรงว่าจะได้รับเสียงหัวเราะแทนการตอบรับ
รู้สถานภาพของกันและกันมากเกินไป กลัวจะได้รับการดูแคลน
เล่นหัวกันจนหวั่นว่า จะไม่มีความซาบซึ้ง
ใกล้ชิดกันมากจนคิดว่า ไม่มีอารมณ์ทางเพศ
เหนือกว่าความหวาดกลัวทั้งหมด คือการกลัวความสูญเสีย
"สูญเสียความรักระหว่างเพื่อนกับเพื่อน"
บางรายเจ็บช้ำยิ่งกว่านั้น ถูกคนนอกวานให้เป็น พ่อสื่อ แม่สื่อ
และคนที่ถูกเสนอ มักเกิดความโกรธ น้อยใจ
ตัดสินใจรับรักประชดเพื่อนซี้
ต่างก็เจ็บปวดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แล้วคุณล่ะ เคยไม๊ที่ตกหลุมรักเพื่อน

เพื่อนเก่าเหมือนรูปถ่าย เพื่อนใหม่เหมือนรองเท้า




เพื่อนเก่า :
เป็นคนที่อยู่กับเรา ตอนเรามีความรักครั้งแรก
เป็นคนที่มีความทรงจำทั้งดีและแย่ร่วมกันกับเรา
เป็นคนที่มีรูปติดอยู่ในสมุดเฟรนด์ชิปเล่มเดิม
เป็นคนที่เซ็นชื่อกำกับตัวโตๆ ตรงคำว่ารักเรามากกว่าใคร
เป็นคนที่มักวิ่งเข้ามาในความคิดถึง ตอนเราเหงา
เป็นคนที่เราภูมิใจ เมื่อเล่าให้คนอื่นฟัง
เพื่อนเก่า.....จึงเหมือนกับรูปถ่ายที่ถูกเก็บไว้ในอัลบั้ม


ส่วนเพื่อนใหม่ :
เป็นคนที่อยู่กับเรา ตอนเรามีความรักครั้งปัจจุบัน
เป็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งตอนที่เราผิดหวังและสมหวัง
เป็นคนที่บอกเราว่าถึงแม้บางครั้งจะล้ม
แต่ถ้าใจไม่แพ้ ก็สามารถจะเริ่มต้นวิ่งใหม่ได้ทุกเมื่อ
เป็นคนที่ถ้าเราไม่สบาย จะรีบมาดูแล
เป็นคนที่เราอุ่นใจ เมื่อเล่าให้คนอื่นฟัง
เพื่อนใหม่.....จึงเหมือนกับรองเท้า
ที่พร้อมจะเดินไปในทุกๆที่ ด้วยกันกับเรา


ในชีวิตของทุกๆคน
ต่างก็จำเป็นต้องมีทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่อยู่ในชีวิต
เพื่อจะได้มีทั้ง ''ความทรงจำที่น่าภูมิใจ'' และ ''ปัจจุบันที่อบอุ่นใจ''
โดยการให้ความสำคัญกับ ''รูปถ่ายในอัลบั้ม''
หมั่นหยิบขึ้นมาปัดฝุ่น คิดถึงและนึกถึงเรื่องราวในภาพเหล่านั้นเสมอๆ
แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ลืมที่จะหมั่นเช็ดฝุ่นให้กับรองเท้าด้วย

อย่าให้การเดินไปด้วยกัน เป็นการเดินเหยียบย่ำกัน
อย่าให้ความเคยชิน ทำให้หมดความเกรงใจและไม่ให้เกียรติกัน
เพราะถึงแม้รองเท้าจะยี่ห้อดีแค่ไหน เพื่อนใหม่คนนั้นจะดีกับเราแค่ไหน

ถ้าเราใช้งานแบบไม่ถนอม รองเท้าก็อาจพังได้
เพื่อนใหม่ก็อาจหนีหายไปจากเราได้
ซึ่งก็รู้ใช่หรือเปล่า ว่ารองดท้าดีๆ ที่ใส่แล้วเหมาะกับเรานั้น หาไม่ง่ายเลย
เพื่อนดีๆ ที่เข้าใจเรานั้น หายากมาก และบางที...ตลอดชีวิต
อาจเจอแค่คนเดียว

เราเอามาจากหนังสือเล่มหนึ่งนะ เห็นว่าความหมายมันดีเลยส่งมาให้
ความหมายของคำว่าเพื่อนนั้นมีมากกว่านี้แต่ว่า
เราจะต้องค้นหามันด้วยตัวเอง
เมื่อถึงวันนั้นเราจะเข้าใจและพร้อมที่จะชื่นชมรูปถ่ายไปพร้อมๆกับการเดินด้วยรองเท้าที่เรารัก

ขอบคุณเนื้อหาจาก
เด็กดีดอทคอม

หนึ่งคำ..... มาจากความรู้สึกทั้งหมดที่มี...





หนึ่งคำ..... มาจากความรู้สึกทั้งหมดที่มี...


หนึ่งคำ.....มาจากความรู้สึกทั้งหมดที่มี...
อีกหนึ่งคำ....มาจากความรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำ...

" รัก "

คำนี้จะมากด้วยความหมาย...
...ถ้าออกมาจาก "หัวใจ" ...จริงๆ..

เอ่ยคำๆนี้ ให้คนของใจ มากแค่ไหนกัน?
บางคนเก็บไว้.....ทั้งๆที่อีกฝ่ายต้องการที่จะได้ยิน...
บางคนบอกบ่อยเกินไป...จนอีกฝ่ายรู้สึกว่า ง่ายเกิน

บอกรักแค่ไหนกัน ถึงจะพอดี...
คิดว่า.....คงต้องดู"คนของใจ"เป็นสำคัญ
ความใส่ใจในตัวเขาทั้งการกระทำและความรู้สึก...
....จะทำให้เรารู้จักเขาเป็นอย่างดี...
และก็จะรู้ว่าเราควรจะบอกรักได้บ่อยมากแค่ไหน ?

บางทีความใส่ใจเล็กๆน้อยๆ..ที่หลายคนมองข้ามไป
อาจกลายเป็นส่วนที่ทำให้เขาประทับใจในตัวเรา
...แบบไม่มีวันลืมก็ได้...

" ขอโทษ "

คำนี้เป็นคำที่สามารถสานสายสัมพันธ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์
ไม่เข้าใจกัน....ขอโทษเพื่อปรับความเข้าใจกัน...
เข้าใจผิดกัน...ขอโทษพร้อมอธิบาย...ไม่ใช่คำแก้ตัว

เช่นกันกับคำว่ารัก..ถ้าออกมาจาก"หัวใจ"จริงๆ
ถ้าไม่บอกบ่อยครั้ง....จนเกินความพอดี กลายเป็นความผิดซ้ำๆ
ถ้าไม่เคยเอ่ยออกมาเลย.....เพราะทิฐิที่มีต่อกัน

...ฉันรู้แต่ว่า.....ถ้าฉันทำให้เขาโกรธ...
...ฉันจะขอโทษ.....และอธิบายให้เข้าใจ
...ฉันจะพูดเพื่อความเข้าใจกัน....
....ฉันจะพูดเพื่อความรักของเรา....

กว่าจะคบกันมาได้นานและรักกันได้
ถ้าต้องจบลงเพราะเรื่องเดิมๆ แต่ละเลยที่จะปรับความเข้าใจกัน
คงต้องถามตัวเองแล้วว่า
นี่เราไม่ได้รักเขาหรือ...เราไม่ได้ใส่ใจความรักของเราเหรอ
เพียงแต่พูดคำว่า"ขอโทษ"พร้อมกับ"คำอธิบาย"ไม่กี่ประโยค
ทำไม่ได้เหรอไง ??

ความผิดที่มากมาย..และเราก็รู้สึกผิดมากเช่นกันนั้น
บางครั้งก็สามารถแก้ได้ด้วยคำว่า"ขอโทษ"เพียงคำเดียว

หากเอ่ยคำว่า"ขอโทษ" แล้วได้รับโอกาสแก้ไขความผิด!!
ลงมือแก้ไขซะนับตั้งแต่วินาทีนั้น .. ก่อนที่มันจะสายเกินไป !!

จนคำว่า "ขอโทษ" มันไม่มีความหมาย และไม่ได้รับ "การให้อภัย" อีกเลย...

ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้วว่า...

จะใช้คำว่า "รัก" และ "ขอโทษ"
ให้ "มากค่า" แค่ไหน... ระหว่างใจ 2 ใจ ...
ให้บ่อยครั้งมากแค่ไหน...ในช่วงเวลาที่คบกัน
แต่เชื่อเถอะว่า...คำ 2 คำ นี้....
...ให้ผลทางบวกระหว่างคน 2 คน ได้เป็นอย่างดี..

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.soccersuck.com

“ความรัก กับ อากาศ” เธอเลือกที่จะขาดสิ่งไหน


http://mblog.manager.co.th/uploads/811/images/68b4757ac4.jpg

ไม่มีอากาศ . . . ก็ไม่มีลมหายใจ

ไม่มีความรัก ยังหายใจได้ เหมือนทุกวัน

อากาศไม่ต้องเสาะแสวงหา

แต่ความรักจะได้มาต้องบากบั่น

อากาศได้มาง่ายๆ และมีอยู่มากมายร้อยพัน

ส่วนความรัก แม้เพียงฝัน . . . ก็สุขใจ

อากาศแทบไม่มีน้ำหนัก

ส่วนความรัก ใครก็เห็นว่ายิ่งใหญ่

อากาศ ไม่เคยสร้างความเสียใจ

หากความรัก ทำให้ต้องร้องไห้ มีน้ำตา

อากาศ ทำให้ทุกชีวิตดำรงอยู่

และความรัก ทำให้ลมหายใจทุกอณูมีคุณค่า

อากาศมองเห็นได้ยากด้วยสายตา

ส่วนความรัก เห็นด้วยตารู้ด้วยใจ

มีอากาศโลกก็เป็นอย่างที่เป็นอยู่

มีความรักโลกจะกลายเป็นสีชมพูหวานไหว

สำหรับอากาศ เข้า-ออกตามลมหายใจ

แต่ความรักหากมีไว้ . . . ก็ไม่อยากสูญเสียไปสักนิดเดียว

ดูแลรักษาอากาศว่าลำบาก

ดูแลความรัก ยิ่งยุ่งยาก หากไม่ชอบแลเหลียว

อากาศมากเท่าไหร่ . . . ก็ไม่กลมเกลียว

ความรักแม้บางเบาก็แน่นเหนียว . . .และผูกพัน

ส่วนประกอบของอากาศสามารถบรรยาย

แต่ความรักไม่อาจอธิบายด้วยคำสั้นๆ

อากาศ อาจดี - แย่ แต่ละวัน

ส่วนความรักนั้น จะยังคงอบอุ่นกรุ่นหัวใจ

"ความรัก" กับ "อากาศ"

หากถามฉันว่าเลือกที่จะขาดสิ่งไหน

แม้อากาศจำเป็นสักเพียงใด

ในโลกที่ความรักสิ้นไร้ . .ก็ไม่อาจทนอยู่ได้ เช่นกัน. . .

เอาการ์ตูนน่ารักๆๆคิขุมาให้อ่าน

ใครมีแฟนแล้วเคยเจอแบบนี้ไหม...อิอิ

100 ข้อคิดสั้นๆ โดนใจ นำไปใช้ได้จริง ดีจริงๆ...


http://gotoknow.org/file/phongphan/24934.jpg

บางครั้งการใช้ชีวิต ก้อไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอ ไป เราจำเป็นต้องมีหลักยึดเตือนใจ เพื่อให้อยู่ในสัวคมอย่างสงบสุข และสง่างาม ไม่เว้นเเต่จะเป็นการปฏิบัติต่อคนที่เราคิดว่าเป็นเพื่อน เพื่อเป็นการรักษามิตรภาพให้ยืนยาว อีกทั้งยังเป็นการคบกันด้วยความจิงใจ ช่วยเหลือกันในยามมีความทุกข์ ในยามสุขก็แบ่งปันให้กันด้วยความจิงใจ

หากใครบอกว่า โอ้โหตั้ง 100 ข้อเชียวหรอ แต่ขอบอกว่าลองศึกษาดูก่อน มันไม่มากไม่มายและยากเย็นเกินไปที่เราจะปฏิบัติเลยจริงๆ

1.เอาใจเขามาใส่ใจเรา
2.เชื่อมั่นตัวเอง
3.อย่ามองคนที่หน้าตา
4.กล้าคิด พูด และทำ
5.เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น
6.และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย
7.อย่าโกหกกับเรื่องที่คุนคิดว่าผิด
8.ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ
9.เปิดใจให้กว้าง
10.มองการณ์ไกล
11.วางแผนอนาคต
12.อย่าโทษตัวเอง
13.มีความรับผิดชอบ
14ตอบแทนเมื่อได้รับ
15.ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้และไม่มี
16.อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด
17.คิดถึงส่วนรวมให้มาก
18.ดูแลตัวเองให้เป็น
19.รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี
20.อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
21.อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว
22.จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
23.ที่ทำอยู่มีผลดี ผลเสีย มีประโยชน์ หรือไร้ประโยชน์
24.อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก
25.ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น
26.อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตนเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
27.คนไม่ผิดคือคนที่ไมม่เคยทำอะไร
28.ได้หน้าอย่าลืมหลัง
29.คุนไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อมความรู้สึก แต่จงวางแผนที่จะดูแลมันไม่ให้เสีย
30.อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ
31.อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง
32.รู้จักแบ่งเวลา และหน้าที่
33.ทำประโยขน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง
34.อย่าเห็นแก่ตัว
35.อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
36.อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันได้
37.กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุนเอง
38.เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก้อคุยกันได้
39.อย่าคิดว่าเขาไม่โทร.มา ถ้าคุนก้อไม่เคยโทร.ไป
40.จง เป็นฝ่ายให้มากกว่าเป็นฝ่ายรับ
41.ดูแลบิดามารดาให้ดี คุนมีโอกาศ รีบทำซะก่อนที่จะไม่มี
42.อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา แต่คุนสามารถทำมันใหม่หรือเรียนรู้จากมันได้
43.คำพูดเมื่อพูดไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้ ดังนั้น คิด ก่อนพูด
44.อย่าทุ่มเทในสิ่งที่ไร้ประโยชน์
45.คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด
46.ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วไม่สามารถเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้
47.หาจุดหมายให้กับชีวิต
48.เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น
49.ถ้างง เขียนหนังสือได้ แต่เขียนให้เป็นภาษา
50.วันๆหนึ่งคุนทำอะไรบ้าง ที่ไม่ใช่ กิน นอน เล่น
51.ไม่มีหมอคนไหนรอให้คนไข้จะตายแล้วค่อยช่วยหรอกนะ
52.เพื่อนคุนก้อเช่นกัน อย่าปล่อยให้เขาเครียดจนจะตายแล้วถึงไปถามหรือดูแล
53.ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง
54.คุนซื้อนาฬิกาได้ แต่คุนไม่สามารถซื้อเวลาได้
55.ตอนนี้มีใครคอยคุนอยู่รึเปล่า ถ้ามีกลับไปหาซะ
56.ตอนนี้คุนคอยใครอยู่รึเปล่า จะคอยอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ทำอะไรซะบ้าง
57.อย่ากล่าวคำขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามไปขอโทษ
58.ตอนคุนลำบากคุนคิดถึงใคร คุนอยากให้ใครช่วยเหลือ
59.ตอนนี้คนกำลังสบายอยู่ แล้วคนที่คุนเคยขอความช่วยเหลือล่ะ หมดประโยชน์แล้วหรือ
60. ไม่ใช่ แล้วไง ต้องให้บอกต่อมั้ย
61.ทำอะไรก้อได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของคนอื่น
62.ตอนที่คนกำลังอ่านประโยคนี้ จงจำไว้ว่าคุนเป็นมนุษย์ และยังมีชีวิตอยู่
63.ใครเป็นคนทำให้คุนมีชีวิต ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง
64.ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกเขาว่ารักก้อเพียงพอแล้ว
65.อย่ารอให้ถึงวันกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน
66.ไม่มีกฏหมายข้อใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา
67.ถ้าเป็นคุนอยู่ดีๆมีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุนจะรู้สึกดีมั้ย หรือดูที่ราคาขนม
68.เหล้าทำให้คุนลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุนลืมเรื่องร้ายๆได้ตลอดชีวิต
69.อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร อย่างน้อยๆถ้าคุนได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุนยังมีคนพิมพ์คนนี้อีกคน
70.อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคดีที่สุด
71.อย่าพูดว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้า งั้นคุนก้อไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน
72.เหนื่อยนักก้อหยุดพักซะบ้าง
73.อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม เพราะคุนก้อเป็นคนเพียงแต่คุนยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง
74.ปริศนาในเกมคุนแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุนแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปอยู่ในตัวคุน
75.คุนมองเพชรที่ความงามภายในหรือป้ายราคาภายนอย
76.ถ้าคุนกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน
77.มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือ ลองค้นคว้าดูจะรู้
78.ลูกธนูที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่เเทงมาจากข้างหลัง
79.การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด
80.ทำยังไง ต้องให้ขโมยขึ้นบ้านก่อน ถึงไปดูรั้วบ้านใช่มั้ย
81.ทำใจกับสิ่งต่างๆล่วงหน้าไว้บ้างก้อดี
82.จะยกตัวอย่าง สมมติคนที่คุนรักจากไปตอนนี้ คุนคิดว่า คุนทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง
83.อย่าตอบว่าทำยังไงก้อตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
84.คุนทำใจได้แล้วหรือถ้ามันเกิดอะไรขึ้น คุนไปร้องไห้ข้างโลงศพ ยังไงเขาก้อไม่ฟื้นมาได้ยินหรอกนะ
85.ตัวคุนมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุนรุ้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า
86.หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากมายที่คุนยังไม่รู้
87.ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิต
88.การใส่เสื้อสวยๆไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก
89.หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้
90.ลองทำอะไรบ้าๆบ้างก้อดี อย่ายึดติดนักเลย
91.ผู้พิมพ์ไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุนได้รุ้อะไรไว้บ้างก้อดี
92.สิ่งที่คุนปล่อยผ่านๆ ไปในชีวิตหรือเรื่องคุนเห็นว่าไม่สำคัน กลับมาดูเเลตรงนั้นบ้างก้อดี
93.อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก้อดี
94.อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้ากิน เล่นไพ่เล่น เที่ยวหญิงเที่ยว
95.ยาเสพติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด
96.อย่าทำตามเพื่อนเพราะเพื่อนทำกันหมด ร่างกายเขากับร่างกายเรา แน่นอนจิตใจก้อเหมือนกัน
97.ผู้ชายยังไงก้อคือผู้ชาย ผู้หญิงยังไงก้อคือผู้หญิง
98.บางครั้งการอยู่คนเดียวก้อไม่ได้เลวร้ายเมอไป
99.ไม่มีมิตรถาวรและศัตรูที่เเท้จริง
100.จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรา รัก และคนที่อยู่รอบกายเรา

Credit : picpos

ที่มา: http://zayyes.com/

วิ่งตามอะไรกันในชีวิต


http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/648/28648/images/run/run.jpg

มีเรื่องเล่าว่า... มีพระองค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ...
วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...

จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน...
ก่อนทอดกฐิน..ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา...
หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา...
บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย...
หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา...

ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ...
หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ...
พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี...
เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...
ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว...
โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...น่าสงสารหมามาก...


หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...
ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ...
หัวเราะเยาะหมา...ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้...
ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต...

หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว...
ก็แก้เชือกออกมากหลังหมา...
แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...


มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม...
ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...


เราอยากสวย...อยากทันสมัย...
ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่...
ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า...
อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่...
ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...


ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด...
๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...

ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก...
ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...
ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย...

เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...หาเงินมา...
เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย...
ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่...
เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส...
เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...


ปัจจุบัน...
เรากำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน...
ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน...
น่าสงสารไหมโยม...

คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น...
ด่าว่า...หมามันโง่...
ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...


ไม่รู้ว่า...กำลังสงสารหมา...
หรือ...กำลังทบทวนความโง่...ตัวเอง

ของคุณข้อมูลจาก http://www.tamdee.net/

365 วันกับความรัก



http://lovelover.files.wordpress.com/2009/06/61796_headline.jpg

365 วันกับความรัก

** เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งเหงาอยู่ริมหน้าต่าง เธอมองดูกระถางต้นไม้ที่แห้งเฉา
ดินแตกระแหง แต่ยังมีเมล็ดพืชงอกงามอยู่ในนั้น เธอเก็บเมล็ดพืชนั้นมาด้วยความสงสัย...
อยากรู้ว่ามันงอกขึ้นมาได้อย่างไร?

..วันที่ 1 เธอนำเมล็ดพืชนั้นมาปลูกในกระถางใบใหม่..รอคอยวันที่มันจะเติบโต
เธออยากเห็นเมล็ดพืชโตเร็วจึงรดน้ำ จนล้นกระถาง..

..วันที่ 2 เธอเฝ้าดูการเจริญเติบโตของเมล็ดพืชนั้น..ทันใดนั้นก้อมีปลาทองออกมาจากเมล็ดนั้น
เด็กหญิงเอาปลาทองใส่ไว้ในโหล และคิดว่าคงรดน้ำมากเกินไป จึงเอากระถางไปใส่ไว้ในเตาอบและเฝ้าดู

..วันที่ 3 เธอเปิดเตาอบออกดูเห็นลูกไก่เดินอยู่ในนั้น มันมองมาที่เธอและเดินตามเธอตลอดเวลา
เด็กหญิงมีความคิดว่าควรจะใส่ปุ๋ยให้มันและเริ่มเทปุ๋ยจนหมดถุง และ..รอ

..วันที่ 4 มีริบบิ้นสีแดงออกมาจากเมล็ด เธอดีใจมากนำริบบิ้นมาผูกให้กับลูกไก่
แต่ละวันเด็กผู้หญิงจะเฝ้ารอดูว่าจะมีอะไรออกมาจากเมล็ดพืชอีก
เธอมีความสุขกับการได้ดูแลเมล็ดพืช รดน้ำ พรวนดิน ให้แสงแดด

...วันที่ 30 เด็กหญิงเบื่อที่จะรดน้ำ และดูแลต้นไม้
ไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่จะออกมาจากเมล็ดพืชนั้นเหมือนแต่ก่อน..
ต้นไม้เริ่มแห้งเฉาใบไม้เริ่มเป็นสีเหลือง ไม่มีอะไรออกมาจากเมล็ดพืชอีก..

..วันที่ 180 ใบไม้เริ่มแห้งกรอบ ดินเริ่มแตกแยกเหมือนครั้งแรกที่เด็กหญิงเจอมัน..
เธอเศร้าเสียใจอย่างมาก

...วันที่ 250 เด็กหญิงรดน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ...
เธอมีความหวังที่จะได้พบสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจอย่างที่เคยเป็น

..วันที่ 251 เธอนำกระถางมารับแสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้าด้วยใจที่เบิกบานและเต็มไปด้วยความหวัง

..วันที่ 252 เธอใส่ปุ๋ยและพรวนดินให้ต้นไม้ มีลูกไก่ที่ผูกริบบิ้นสีแดงและปลาทองในโหลอยู่ใกล้ๆ

..วันที่ 300 การเอาใจใส่ ดูแลอย่างใกล้ชิดของเธอทำให้ต้นไม้กลับมาออกใบเขียวชอุ่ม..
และที่น่าประหลาดใจคือ เมล็ดพืชกลายเป็นดอกสีขาวเล็กๆ รูปร่างคล้ายหัวใจ เด็กหญิงตื่นเต้นดีใจกว่าทุกครั้ง

..วันที่ 340 เธอร้องเพลงและพูดคุยกับดอกไม้สีขาวนั้นทุกเวลาที่ว่าง
เธอรู้สึกมีความสุขมาก..ที่ได้คอยเอาใจใส่โดยลืมไปสนิทว่ามันจะกลายเป็นอะไรต่อไป..
เด็กหญิงไม่คาดหวังให้ดอกไม้กลายเป็นสิ่งใด เธอทนุถนอมและดูแลมันอย่างดีที่สุด

..วันที่ 365 เด็กหญิงนั่งอยู่ริมหน้าต่าง กระถางตรงหน้าเธอไม่มีดอกไม้สีขาวรูปหัวใจอีกแล้ว
ดอกไม้ที่เธอเฝ้าดูแลหายไป!! ..แต่เธอไม่เศร้า ไม่เสียใจ ไม่ร้องไห้ เพราะเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง
เขาสามารถพูดคุยกับเธอ ยิ้มให้เธอ ไปทุกที่กับเธอ เข้าใจเธอ และเธอก็ไม่เคยเหงาอีกเลย......

** คุณรู้หรือยังว่าดอกไม้สีขาวรูปหัวใจกลายเป็นอะไร **

เด็กผู้หญิงใช้เวลา 1 ปี ในการเรียนรู้เรื่องความรัก เธอเรียนรู้ว่า

...~ เมื่อเธอรดน้ำมากๆ ไม่ได้แปลว่ามันจะเจริญเติบโตเร็ว มันอาจกลายเป็นสิ่งที่เธอคิดไม่ถึง
...~ การเอาใจใส่กันเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้ความรักคงอยู่ต่อไป
...~ การรอคอยเมื่อครั้งแรกเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่นานเข้าจะกลายเป็นความท้อแท้และเบื่อหน่าย
...~ ถึงเรายอมรับที่จะสูญเสียแต่ไม่มีทางหนีจากความเจ็บปวดได้
...~ ไม่มีคำว่าสาย สำหรับความรัก เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
...~ การที่เราคาดหวังกับความรักมากเท่าไรเมื่อไม่เป็นอย่างที่หวังเราจะยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น

** คุณล่ะใช้เวลาเท่าไรในการทำความรู้จักและพยายามเข้าใจในความรัก "ความรัก" ไม่มีข้อปฏิบัติที่ตายตัว
แต่ละคนจึงต้องค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ตามวิธีที่แตกต่างกัน....

อย่าบอกว่าไม่รัก ถ้าไม่สามารถสบตาเขาอย่างบริสุทธิ์ใจได้


http://www.212cafe.com/freewebboard/user_board/thanarack/picture/00034_23.jpg

เพราะรักในแบบของใคร ก็เป็นแบบของมันไม่มีแบบแผนตายตัว
อย่าฝืนใจรัก ถ้ามันไม่ใช่
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคบใครสักคนเพียงเพราะ อยากจะมีใครสักคน
อย่าชิงสุกก่อนห่าม
เพราะผู้ชายที่ไม่รู้จักอดทนอดกลั้นเพื่อถนอมหญิงที่รัก
แสดงว่าเขาไม่ได้รักคุณหรอก เค้ารักตัวเองมากกว่า
อย่าเปลี่ยนตัวเองเพียงเพื่อให้เขามารัก เพราะจะทำได้ไม่นาน
วันนึงคุณจะรู้สึกเหนื่อยเพราะความรัก ที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง
อย่าหลงในรสชาติของความรัก เสียจนลืมชีวิตประจำวันของตัวเอง
หรือสูญเสียความเป็นส่วนตัว

คนที่พร้อมจะอยู่กับคุณโดยที่คุณไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตเลย
คนที่พร้อมจะเดินหน้าเมื่อคุณเดินหน้า
คนที่พร้อมจะถอยหลังไปกับคุณ
คนที่ไม่ยอมให้คุณเดินตามหลัง ขอเพียงเดินเคียงข้างหรือนำหน้า
คนที่ไม่บังคับให้คุณ ทำอะไรในแบบที่คุณไม่ชอบ
คนที่ไว้ใจ ให้อภัย ให้โอกาส ซื่อสัตย์ และให้เกียรติ คุณ
...นั่นแหล่ะ คือคนที่รักคุณจริง.....
จงถนอมคนเหล่านี้ไว้ อย่าปล่อยให้เขาไปจากคุณ..
เพราะคุณจะเสียใจหากเขาเปลี่ยนไปหยิบยื่นความโชคดี
ที่ควรจะเป็นของคุณไปให้คนอื่น
คนที่รักคนที่เปลือกนอกมีอยู่เยอะเหลือเกิน.
ชีวิตคนคนนึงจะมีคนที่รักคุณจริงผ่านมาสักกี่คน
ใครที่บอกว่ารักคุณ แล้วพยายามจะเปลี่ยนคุณ
ดึงคุณให้เดินตามทางของเขา
เขาไม่ได้รักคุณจริงหรอก...เขารักตัวเอง
จงเชื่อในพรหมลิขิต
จงเชื่อในเหตุการณ์ที่นำพาความรักมาให้
จงเชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีเส้นขนาน
อย่าบอกว่าไม่รัก ถ้าไม่สามารถสบตาเขาอย่างบริสุทธิ์ใจได้
อย่าบอกว่ารัก ถ้าคุณไม่รู้สึกวูบวาบเวลาอยู่ใกล้ๆ
อย่าบอกว่าไม่คิดถึง ถ้า หัวใจไม่อาจลืม
อย่าบอกว่าคิดถึง ถ้า เพิ่งจากกันไม่ถึง1นาที
อย่าทิ้งหัวใจของคุณไว้กับอดีต
อย่าคิดว่าอดีตไม่มีวันหวนคืน
อย่าคิดว่าไม่มีพรุ่งนี้
อย่าลืมบทเรียนของเมื่อวาน
ทุกชีวิตยังมีความหวังอยู่เสมอ


จงปล่อยให้ชีวิตดำเนินต่อไป..วันนึงถ้าชีวิตหวนคืนมาสู่ทางสายเก่าที่เคยทำให้


คุณมีความสุขระหว่างเดินทางในแต่ละก้าว..จงอย่าเดินเลี่ยงมันไปอีก

เพราะน้อยนักที่ถนนสายเดิมยังคงสภาพเดิมเพื่อรอให้คุณเดินย้อนกลับมา..
ลองเดินต่อไปสิ..บางทีคุณอาจจะเจอจุดหมายที่คุณค้นหามาตลอดชีวิต
ในเส้นทางที่คุณเคยเดินเลี่ยงมันไปก็ได้...


ขอบคุณข้อมูลจาก
Welcome to สาระแน.คอม - ไม่ไร้สาระ

ช่วงเวลาของความรัก


http://bc46.com/images_upload/time.jpg

ช่วงที่ 1 : ความฝัน ตอนเริ่มคบกัน
แรกๆ คุณรู้สึกหลงใหลในตัวเขา จนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอย่างอื่น คงเคยมีบ้างหรอก
ที่คุณเฝ้าแต่วาดรูปหัวใจมีศรปักอก แล้วสลักชื่อคุณกับเขาลงไป
เดินไปยิ้มไปคนเดียวด้วยความคิดถึงเขา เวลาคุยกับเพื่อน
ไม่พ้นเรื่องของเขาอีกนั่นแหละ จนเพื่อนๆ เบื่อหน่าย
ในช่วงที่คุณตกหลุมรักตอนแรกๆ ยากจะบอกได้ว่า
ความรักของคุณจะยืนยาวต่อไปหรือไม่ เพราะท่าทางพึงพอใจ
โดยเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอก
โดยไม่คำนึงถึงความรักเท่าใดนัก
บางทีเขาอาจจะทำเรื่องที่เหลวไหลหรือแย่แค่ไหน
คุณก็มองไม่เห็น เพราะความหลงยังบังตาอยู่
แม้ความจริงเป็นสิ่งโหดร้าย
แต่เราต้องยอมรับ เมื่อคุณพบแต่เนิ่นๆ ว่า
เขาไม่ควรค่าแก่การที่คุณจะต้องเสียเวลากับเขา
ดังนั้นในตอนที่ความรักยังหวานชื่นอยู่นั้น
ต้องพยายามรักษาสมองให้ปลอดโปร่ง อย่ารักจนโงหัวไม่ขึ้น
คำถามง่ายๆ ที่คุณควรถามตัวเองเบื้องต้นก่อน เช่น
เขาอ่อนหวานไหม
อารมณ์รุนแรงหรือไม่ สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อคุณ
เป็นสิ่งที่คุณชอบหรือเปล่า
ถ้าคำตอบคือ ไม่แน่ใจ
ก็ต้องทบทวนแล้วว่าความสัมพันธ์ของคุณจะเกิดปัญหา
ในอนาคตหรือเปล่า แต่ช่วงการตกหลุมรักอย่างเป็นบ้าเป็นหลังนั้น
ไม่ใช่ช่วงที่ยืนยาวนัก
บางครั้งหากความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อเกินไป
เกิดร้าวรานได้ง่าย และหนุ่มสาวหลายคู่ทีเดียวที่เลิกรากันในช่วงนี้


ช่วงที่ 2 : เผชิญความจริง
ช่วงนี้เป็นระยะที่คล้ายกับคุณร่อนจากฟ้ามาสู่ดิน
ถ้าคุณบินยิ่งสูงโอกาสตกลงมายิ่งแรง ซึ่งต้องเตรียมไอน์สไตน์ หรือแฟรงเกนสไตน์
มิฉะนั้นโอกาสที่คุณจะลุ่มหลง รูปลักษณ์ภายนอกเขาสูงกว่ามันสมองเขาแน่
จากตรงจุดนี้ คุณจะเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น เช่น
เขาเล่าเรื่องตลกให้ฟังในขณะที่ข้าวยังเต็มปากอยู่
คุณเริ่มมองเห็นความไม่น่ารักเสียแล้ว คุณอาจพบเรื่องน่าเบื่อ
หรือไม่เข้าท่าหลายอย่างของเขา จุดบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ
ทำให้คุณเลิกรากับเขาได้
ทั้งที่ตอนแรกคุณประทับใจเขาไปหมด ทั้งรูปร่างหน้าตา
กิริยาท่าทาง การแต่งตัว
พอมาถึงช่วงนี้ ทำไปทำมา
หลายสิ่งหลายอย่างเริ่มขัดหูขัดตามากขึ้น
ขณะที่เขา ก็มีอาการไม่ต่างไปจากคุณเท่าใดนัก
ดังนั้นในช่วงที่คุณลังเลว่าจะไปจากเขาหรือเปล่า
ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ทดสอบคุณทั้งสองได้ดีที่สุด
ลองพิจารณอย่างรอบคอบว่า
จุดบกพร่องของเขา จะนำไปสู่การแตกแยกในที่สุดไหม
หรือเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
ที่ไม่ตรงกับความสมบูรณ์แบบที่คุณจินตนาการหรือคาดหวังไว้
ถ้าคุณรักเขาจริงๆ
เรื่องดังกล่าวไม่น่าเป็นอุปสรรคมากเท่าใด
และจำเป็นต้องพิจารณาว่าข้อเสียเหล่านี้ จะทำให้ความรักของคุณ
ดำเนินต่อไปได้หรือไม่
ถ้าคุณตัดสินใจที่จะให้โอกาสทั้งสองฝ่ายควรพูดจาเปิดอกกัน
จะมีประโยชน์กว่า
หรือแม้กระทั่งการใช้อารมณ์ขันเข้าช่วยบางครั้ง
หากคิดว่าข้อเสียของเขามากจนกลบข้อดีเกือบหมด
โบกมือลาคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด


ช่วงที่ 3 : โลกของคนสองคน
เมื่อคุณโชคดีผ่านสองช่วงแรกมาได้ แสดงว่า
ความรักเขาสู่ภาวะที่มั่นคงแล้ว
กลายเป็นโลก ของคนจะนำมาใช้เรียกคุณกับเขาในตอนนี้ และคำว่า
"ฉันรักคุณ" ก็เหมาะกับช่วงนี้เช่นกัน
เขาจะเป็นคู่ครองตัวจริงของคุณ รักและห่วงใยกันเสมอ
มีความใกล้ชิดสนิทสนม
และให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกันได้ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด
คนที่คุณอยากจุมพิตเพียงคนเดียว
ระบายความในใจและปรึกษาหารือกันได้
เริ่มวางแผนจะก่อร่างสร้างครอบครัวในอนาคต
ไม่ว่าอุปสรรคใดมาขวางกั้น
ก็พร้อมต่อสู้และเป็นกำลังใจให้กัน
ทว่ามาถึงขั้นนี้ ยังไม่รับประกันว่า
คุณจะครองคู่กันเป็นนิรันดร์ได้
ในช่วงนี้คุณจึงต้องดูว่า เขามีความคิดเข้ากับคุณได้ไหม
รับผิดชอบมากเท่าไร
ยังรักที่จะใช้ชีวิตโสดร่วมกับเพื่อนๆ มากกว่าคุณหรือเปล่า
ถ้าคำตอบในคำถามดังกล่าวยังไม่แน่นอน แสดงว่า
ความสัมพันธ์ยังไม่แน่นแฟ้นพอจะลั่นระฆังวิวาห์ได้
บางครั้งความจริงก็เป็นเรื่องทรมาน แต่ถ้าหลบหนี
มันคุณจะยิ่งเจ็บปวดทวีคูณ
ลางบอกเหตุบางย่าง เช่น การทะเลาะเบาะแว้ง
และสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียด
แม้จะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณ ตื่นเต้นหรือหวือหวา
แต่ถ้ามีเงาของความรุนแรงแฝงอยู่ตลอด
จนร่องรอยของความปริร้าวที่เริ่มปรากฏการแยกจาก
ควรเป็นหนทางที่น่าพิจารณาด้วยเช่นกัน
เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงที่ 3 แสดงว่า
พื้นฐานความรักคุณเริ่มลงหลักปักฐาน
แต่อย่าเพิ่งวางใจ แม้ว่าคุณจะมีต้นทุนแน่นอนจำนวนหนึ่ง
แต่ถ้าคุณปล่อยไปตามสภาพโดยไม่รดน้ำพรวนดินต้นรัก
ความรักจะจืดจางได้เช่นกัน

แล้วความรักของคุณตอนนี้ล่ะ อยู่ช่วงไหน?

การเดินทางของชีวิต...


การเดินทางของชีวิต..

มิใช่มีเพียงต้องเดินหน้าเสมอไป

บางครั้งเราก็อาจต้องถอยหลังบ้าง

เพื่อจะก้าวเดินไปข้างหน้าได้ยาวไกลขึ้น

เป็นการถอยเพื่อจะก้าวต่อ

มิใช่ถอยเพื่อจะท้อหรือทอดวาง

เพราะบางครั้งการขืนดึงดันที่จะก้าวต่อ...

ทั้งที่รู้ว่าอาจเกิดอันตรายจะมีประโยชน์อันใด

การจะก้าวข้ามฝั่ง สายน้ำชีวิต ยามที่ไม่มีสะพานให้ก้าวข้าม

บางครั้งเราอาจต้องยอมเดินย้อนถอยกลับไป

เพื่อหาวิธีข้ามสู่อีกฟากฝั่งโดยใช้ สะพานใจ

เช่นเดียวกับยามที่เจอะเจอปัญหา

ลองถอยห่างออกแล้วมองเข้าไป...

ว่าเราจะหาทางออกต่อได้อย่างไร ?..

เพราะถ้าเราจมอยู่กับปัญหาหนทางก็อาจจะยิ่งมืดมน

การถอยหรือหลบเลี่ยงมิใช่ว่าเป็นการแพ้หรือล้มเหลว

แต่คือท่วงทำนองของการดำเนินชีวิต...

ถ้าบางครั้งจำเป็นต้องหยุดนิ่งบ้าง...

ก็คงไม่ใช่เรื่องต้องทุกข์ร้อนหรือผิดอันใด

หยุดนิ่งเพื่อไตร่ตรองและก้าวต่อ

คงดีกว่าขืนดึงดันจนเหยียบ กับดักของชีวิต

ที่บางครั้งอาจทำให้เราเดินต่อได้ยากยิ่งกว่า

ก้าวที่เดินไป...จุดที่ยืนอยู่...

ไม่สำคัญว่าจะยิ่งใหญ่มากหรือน้อยกว่าใครๆอื่น...

เพราะองค์ประกอบ ปัจจัย และโอกาส

ของแต่ละคนย่อมมีแตกต่างกันไป...

เพียงเราตระหนักในคุณค่าของตัวเอง

ในสิ่งที่เราทำ ในก้าวที่เราก้าว

และรู้ว่าทุกหน้าที่การงาน...

ทุกภาระความรับผิดชอบ ล้วนมีคุณค่าในตัวเอง

ก้าวอาจช้าไปบ้าง ...

ข้างทางอาจไม่เป็นอย่างที่หวังไปทั้งหมด

แต่อย่างน้อยเราก็ภูมิใจได้มิใช่หรือ

ที่ขณะเวลาที่ผ่านไป...

เราได้สร้างคุณค่าด้วยสองมือ ของเราเอง

ที่ความยิ่งใหญ่อยู่ที่ความทุ่มเทด้วยกายและใจ

ที่ความสำเร็จอยู่ที่เราได้ลงมือทำด้วยความตั้งใจ

เพียงอย่าหวั่นกังวลกับจังหวะที่เดิน...

ว่าจะเหมือนหรือต่างจากใคร...

เพราะชีวิตย่อมก้าวไปด้วยจังหวะของเราเอง ..มิใช่หรือ ...



.

"ช่วงหนึ่งในการเดินทางของชีวิต อาจจะดูมืดมิดไร้จุดหมายไปบ้าง

.

ถึงจะไกลแค่ไหนกับระยะทาง ก็ไม่เคยคิดจะปล่อยวางทิ้งมันไป
.

บางทีก็ต้องอยู่อย่างเหงา-เหงา บางทีก็เศร้า-เศร้า อยากจะร้องไห้
.

บางครั้งความสุขเข้ามาแล้วก็จากไป ไม่เคยเห็นมีอะไรที่แน่นอน.."

.

นี่แหละ..คือ "ชีวิต"


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tamdee.net/

กล้ายอมรับความผิดหวังเจ็บปวด...




กล้าเผชิญกับสิ่งเลวร้าย...

จะทำให้จิตใจกล้าแกร่งกว่าเดิม

ทำให้ชีวิตมีภูมิคุ้มกัน...

และทนทานต่อปัญหาต่างๆ ยิ่งกว่าเดิม

กล้ายอมรับความผิดหวังหรือความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น

กล้ายอมรับและเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มใจ

โดยส่วนใหญ่ แล้วมนุษย์มักหลีกเลี่ยงการเผชิญกับปัญหา

และเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้น

ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเผชิญหน้าและ

ยอมรับกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความผิดหวัง ท้อแท้ เจ็บปวด

ความกล้าหาญในการกล้าเผชิญกับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น

จะทำให้จิตใจกล้าแกร่งกว่าเดิม

แน่นอนว่าการกระทำดังกล่าว

จะทำให้ชีวิตมีภูมิคุ้มกัน

และทนทานต่อปัญหาต่างๆ ยิ่งกว่าเดิม

อย่าลืมว่า...

"คนกล้า ตายเพียงครั้งเดียว แต่คนขี้ขลาด ตายหลายครั้ง"

กล้ายอมรับความผิดหวังและเจ็บปวด

แล้วทำการปรับปรุงแก้ไขก็จะทุกข์เพียงครั้งเดียว
แต่หากหลีกหนี หลบเลี่ยง...

ก็จะเป็นทุกข์ซ้ำๆ ซากๆ ตลอดไป ...

"เราทุกคนมีจุดมุ่งหมายในชีวิตเหมือนกันคือ...ต้องการมีความสุข
ดังนั้นชีวิตของพวกเรา มีทั้งความแตกต่าง และคล้ายคลึงกัน..."


ขอบคุณบทความจาก http://www.tamdee.net/

นักเดินทาง ตะเกียง และแสงจันทร์




นักเดินทาง ตะเกียง และแสงจันทร์

ฉันอาจเป็นเพียงตะเกียงดวงหนึ่ง ที่มีแสงเพียงน้อยนิด
อาจจะไม่จำเป็นเลยในบางช่วง
บางขณะที่พระจันทร์ทอแสงนวลกระจ่าง
เธออาจจะทิ้งฉันไว้ข้างทางก้อเป็นได้
หากเธอคิดว่าฉันไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
ฉันจึงเปรียบตะเกียง เป็นดั่ง ตัวฉัน...
ส่วนเธอน่ะ เป็น นักเดินทางคนนึง...
ส่วนเค้าคนนั้น เป็น พระจันทร์....
นักเดินทางคนหนึ่งกับตะเกียงดวงเก่า
ตะเกียงที่ให้แสงสว่างในค่ำคืนที่มืดมิด
ตะเกียงที่ให้ความอบอุ่นได้ เมื่อนักเดินทางผู้นั้นต้องการ
ในค่ำคืนที่สายลมหนาวได้ผ่านพัดมาอีกครา
การเดินทางของนักเดินทางผู้นั้นก้อมี ตะเกียงเป็นเพื่อนคู่ชีพ
แสงเพียงน้อยนิดที่พอจะส่องทางได้เป็นระยะๆ
ทำให้นักเดินทางผู้นั้นเริ่มไม่พอใจในสิ่งที่เค้ามีอยู่
เมื่อเค้ามีเพื่อนร่วมทาง เพื่อนร่วมทางก็ได้กล่าวว่า
"จะใช้ตะเกียงดวงเก่านี้ไปทำไม ในเมื่อแสงจากพระจันทร์ออกจะสว่างถึงเพียงนี้"
นักเดินทางผู้นั้นคิดได้ จึงทิ้งตะเกียงผู้น่าสงสารไว้ข้างทาง
หลงเชื่อคำกล่าวของเพื่อนร่วมทาง
ซึ่งเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาแล้วก้อผ่านไป
ค่ำคืนนั้น เป็นคำคืนที่ยาวนานสำหรับฉัน...
...ตะเกียงผู้ถูกทอดทิ้งไว้ข้างทาง
ก้อเค้าไม่สนใจแม้แต่น้อย
กลับกัน เธอนักเดินทางที่กำลังหลงระเริง กับแสงจากพระจันทร์
ที่ส่องแสงนวลกระจ่าง มันสวยงาม มันชวนฝัน
นักเดินทางผู้นั้นจึงเดินทางไปเรื่อยๆ เพียงลำพัง
แค่สัมภาระ ไร้ตะเกียงดวงเก่า!
เมื่อความมืดมิดแห่งค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป
แสงจันทร์ที่เคยกระจ่างยามค่ำคืนก้อเลือนหาย
ดวงตะวันได้โผล่ขึ้นมารับอรุณบอกกับทุกคนที่อยู่ใต้ผืนฟ้าว่านี่คือ เช้าวันใหม่ ..............
สายลมหนาว ผ่านพัดมาเยือนอีกครา
ผ่านพัด เป็นลมหนาวที่เย็นยะเยือก
ตะเกียงดวงเก่าที่ถูกทอดทิ้ง

บัดนี้ นักเดินทางอีกคนได้ผ่านมาพบจึงเก็บไว้เป็นสมบัติตน
ตะเกียงจึงกลับกลายเป็น ของมีค่าอีกครั้ง
มันได้ทำหน้าที่เช่นเดิม คือ ให้แสงสว่าง และความอบอุ่นไปพร้อมๆ กัน
เมื่อตะวันลับฟ้าไปแล้ว ลำแสงสุดท้ายของวันเป็นสีส้ม เป็นแสงสว่างสุดท้ายของวันนี้
ค่ำคืนได้ย่างกรายเข้ามา สายลมหนาวก้อเริ่มพัดแรงขึ้นๆ
ดวงจันทร์ที่เคยทอแสงกระจ่างกลับถูกหมอกเมฆบดบังจนสิ้น!
ราวกับจะกลั่นแกล้งนักเดินทางคนเก่าที่เคยเป็นเจ้าของตะเกียง
เค้าผู้นั้นไม่มีแม้แต่แสงไฟที่จะใช้ส่องทาง และเช่นกัน
เค้าไม่มีแม้กระทั่งความอบอุ่น
นักเดินทางหนาวสั่นจะเดินต่อก็กลัวหลงทาง
เค้าจึงย้อนกลับไปเอาตะเกียงดวงเก่าที่ได้ทิ้งไว้เมื่อคืนก่อน


... ลมหนาวได้ผ่านพัดมา ราวกับจะทรมานนักเดินทางผู้นั้น
จนกระทั่งมาถึงจุดที่เขา ได้ทิ้งตะเกียงไว้
บัดนี้ตะเกียงดวงเก่าได้ สาปสูญไปแล้ว
เค้านึกเสียดายจับใจ แม้จะเรียกร้องเพียงใดก้อมิได้กลับคืน
จึงทำได้แต่เพียงนอนหนาว รอให้เมฆหมอกที่บดบังดวงจันทร์นั้นได้ผ่านเลยไป
เวลาได้ผ่าน...
เมฆหมอกได้เลือนหายไปแล้ว
แสงจันทร์ได้กลับมาสดใสอีกครา
ทำให้นักเดินทาง ผู้เหน็บหนาวอุ่นใจขึ้น
แต่ดวงจันทร์ก้ออยู่ไกลเกินไป.......
ไกลเกินที่จะทำให้นักเดินทางผู้เหน็บหนาวได้รับความอบอุ่น
เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า
"เรามักจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราครอบครองนั้นดีเพียงไรมีคุณค่ากับเราเพียงใด
เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้สูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว"
เพราะฉะนั้นฉันจึงอยากให้ผู้ที่ใฝ่สูงทั้งหลายจงหันกลับมามองคนใกล้ตัว
การชะเง้อมันเมื่อยกว่าการก้ม จริงไหม?

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เสียงร่ำร้องของความรัก


http://byfiles.storage.live.com/y1pGfDwqoVi1QXYI56OVLj7RyzYfBjSvk_eEEleJmIHx1vwjFqsjax9WOSlF1w32SEwe7kCMlJwL38
สวัสดี...ฉันเป็นอะไรบางสิ่งที่ปลิวอยู่ในอากาศ
ตัวของฉันไม่หนักหนาอะไร...
ตัวเบาๆ..สบายๆ..
แต่ทำไมเขาถึงว่าฉันไม่มีเหตุผลในบางเวลานะ
ฉันเกิดมาจากอานุภาค1ต่อหนึ่ง
เกิดมาจากใจสองใจรวมตัวกัน
พวกเขาช่วยกันถักทอฉัน..ให้กลายเป็นสายใยของกันและกัน
เขาเปลี่ยนฉันจากสีขาวและสีดำ..เป็นสีชมพู
ใช่..ฉันคือความรัก
ฉันเป็นบางสิ่งที่เคยว่างเปล่า
เหงา..เดียวดาย..และเคยอ้างว้าง
ฉันตอบแทนความอบอุ่นของเขา
ด้วยการก่อตัวในหัวใจของใครอีกคนที่เขารัก..เขาแคร์..และเกิดมาเพื่อเขา

ใช่..ฉันทำโลกของทั้งสองคนเริ่มสดใส
ฉันช่วยทำให้ความเดียวดายของทั้งสองใจจางหายไป
ฉันทำให้พวกเขาเริ่มก้าวเดินไปด้วยกัน
แต่..ฉันไม่อาจทำให้พวกเขาเข้าใจได้เลย
ว่าเส้นทางที่มีฉันเดินไป..ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
มันก็เป็นเส้นทางชีวิตธรรมดาที่เราอาจต้องมองกันด้วย '' ใจ ''
แต่พวกเขาไม่เคยรู้เลย..พวกเขาไม่เคยมองมันเลย
พวกเขาเห็นฉันเป็นเพียงบางสิ่งที่ทำให้เขาพบกัน
รักกัน..เข้าใจกัน..
พวกเขาคิดจะปลูกฉัน..แต่มันไม่น่าดีใจตรงที่เขาไม่รู้วิธีที่จะรักษาฉันให้เนิ่นนานที่สุด
บ่อยเหลือเกินที่ฉันต้องปวดใจเพราะมีคนหลายคนร้องไห้..ที่ฉันตายและจากไป
บ่อยเหลือเกินที่ใครหลายคนโทษฉันว่าเป็นต้นเหตุให้เขาต้องเสียใจ
บ่อยเหลือเกินที่เขาเห็นฉันเป็นเพียงของเล่น..
เครื่องประดับ..ที่ไม่มีค่าอะไรเลย
จะมีสักกี่คนไหม..ที่เห็นคุณค่าและอีกด้านที่สวยงามของฉัน
จะมีใครสักคนไหมที่เข้าใจฉันออย่างถ่องแท้
ว่า..ความรักไม่ได้สร้างแต่ความเสียใจ
ว่าความรัก..ไม่ได้เป็นของเล่นและของประดับของใครๆ
ว่า..ความรักไม่ได้เป็นทุกสิ่งสำหรับเขา
คุณอาจเสียใจที่ฉันจากไป..คุณหาว่าฉันใจร้าย
แล้วคุณเคยเห็นคุณค่าของฉันหรือเปล่า

ความรัก..คือบางสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของคุณกับเขา
เมื่อถึงเวลาที่จากไปก็จะเหลือแต่เวลาและความทรงจำเท่านั้นที่อยู่กับคุณ
อย่าโทษฉันเลย..และอย่าจมอยู่กับตัวฉันในอดีตมากไป
อย่าเสียใจ..ถ้าฉันได้เดินหันหลังจากคุณไป
เวลาและความทรงจำจะช่วยเยียวยารักษาคุณ
และเวลา..ก็จะช่วยชุบชีวิตฉันขึ้นมาใหม่
อย่าปิดกั้นใจเลย..เพราะมันทำให้ฉันไม่สามารถก่อเกิดในจิตใจคุณได้
ความรัก..เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ฉันอยากให้คุณมองฉันจากโลกที่ควรจะเป็น
ไม่ได้มองผ่านโลกที่เต็มไปด้วยความฝัน
ฉันอยากให้คุณทั้งสองคนเข้าใจ..และรักษาฉันไว้ร่วมกัน
และเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ..วันดีๆ..และเวลาดีๆจากตัวฉันให้มากที่สุด
อย่าโทษฉันในบางครั้งที่ต้องทำให้คุณต้องร้องไห้และเจ็บปวด
เพราะฉันไม่ได้ตั้งใจ..ฉันจึงอยากให้คุณมองฉันใหม่
อยากให้คุณเผื่อใจ..และเข้าใจตัวเองให้ดีเสียก่อน
ที่จะรับความรัก..รับตัวฉันเข้าไป
อย่ารำคาญคนอีกหลายคนที่หยิบยื่นฉันให้คุณ
เพราะมันเป็นความรักที่บริสุทธิ์จากใจ..แม้ว่าคุณจะไม่เคยรักเขาเลยก็ตาม
ฉันก็แค่ความรู้สึกบางๆ ในสายลมที่อยากเห็นคุณมีความสุข
ไม่มีใครรักเป็นมาก่อน..ไม่มีใครเข้าใจฉันอย่างถ่องแท้เลย
ฉันเข้าใจดี..แต่ฉันอยากให้พวกคุณทำความรู้จักกับฉัน
เพราะนั่น..จะทำให้ฉันได้เข้าไปอยู่ในใจคุณ
มันจะทำให้คุณรู้จักโลกอีกโลก..
จะมีความสุขหรือเปล่า..ฉันให้คำตอบอะไรไม่ได้
เพราะมันขึ้นอยู่กับคุณที่จะสร้างให้ฉันเป็นแบบไหน
แต่ฉันสัญญา..ว่าในความเสียใจฉันจะทำให้คุณอบอุ่น
อย่ามองว่าฉันจะเกิดขึ้นจากคนที่คุณรัก
เพราะฉันสามารถเติบโตได้ในคนที่รักคุณ
ดังเช่น..คุณพ่อ..กับ..คุณแม่
อย่าลืมนะ..ถ้าเมื่อไรที่คุณเจอฉันโปรดอย่าวิ่งหนี..
อย่าทิ้งขว้างฉัน..โปรดเก็บฉันไว้ในใจ
แล้วสักวัน..ฉันจะทำให้คุณมีความสุข



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทลาของการเริ่มต้น






บทลาของการเริ่มต้น


แจกันน้อยเดินทางมาจากดินแดนหนึ่งที่มีความรักลึกซึ้งล้ำค่า
แต่ทว่ามิอาจมอบรักแด่ดอกไม้ดอกใดได้
ทำไมนะหรือ ก็เพราะมันเจอดอกไม้ที่สวยสดงดงาม
หากทว่ามันยังไม่เจอดอกไม้แห่งรักที่แท้จริง

วันนี้หัวใจเหนื่อยนักยิ่งไขว่คว้ายิ่งไกลยิ่งห่าง
ความเป็นจริงที่โหดร้าย ได้กัดกร่อนก้อนเนื้อเท่ากำมือที่เรียกว่า “หัวใจ” จนบอบช้ำ
ในทางกลับกันมันทำให้หัวใจนี้เข้มแข็งขึ้น
ขอบคุณวันเวลาที่นำพาเธอมาให้พบ
ละครบทนี้เดินเรื่องด้วยความเหงา เศร้า รอยยิ้ม คราบน้ำตา
สุดท้ายตัวเอกของเรื่องคือ “ความว่างเปล่า”
จะมีใครสักกี่คน ที่จะต้องการรู้ตอนจบจริงๆของเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำ
และไม่มีวันเลือนหายไปจากใจ
เพราะในชีวิตจริงนั้น……..
มีอยู่หลายเรื่องที่เราจำเป็นต้องรู้ตอนจบ
แม้ว่าจะไม่อยากรับรู้ก็ตาม
ฉันเดินทางมาไกล ไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ ณ จุดเดิม
ในความรู้สึกลึกๆ ข้างใน
ความรู้สึกนั้นยังคงงดงามเสมอ
ถ้าทำได้อยากหยุดทุกอย่างไว้ ณ ตรงนี้
ตรงที่ความรู้สึกดีๆ ยังคงมีอยู่
หยุดพักปล่อยวางทุกอย่างไว้ข้างหลัง
จากนั้นก้อนเนื้อที่เรียกว่า “หัวใจ” นี้แหละจะพาสองเท้านี้ก้าวไป
ทุกอย่างจบลงแล้ว วันพรุ่งนี้เป็นของเรา
…………………………………………….
มิตรภาพมั่นคง ยืนนาน ต้องผ่านบทเรียน คืน วัน
และความผันแปรทั้งหลาย
ณ วันหน้าผากยับย่น เส้นผมกลายเป็นสีเทา
ถนอมมิตรภาพแสนงามไว้ในดวงใจ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.soccersuck.com/

ความรัก


http://www.thainavy21.com/cms/components/com_mamboboard/uploaded/images/sa197010qd.jpg

....ในขณะที่เราคิดถึงคนคนหนึ่งตลอดเวลา....

เขาคนนั้น...ก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้...

และบางครั้ง...ก็อาจมีคนที่คิดถึงเรา...โดยที่เราไม่ได้สนใจเลยเช่นกัน

....บางครั้ง การได้ฝันไปคนเดียว มันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า

สิ่งที่เราคิดทั้งหมดนั้น มันคือ "ความฝัน" ของเราเองเพียงคนเดียว

....ฉะนั้น ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ เลือกที่จะจมกับความฝัน

มากกว่าการได้รู้ความจริง

....การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเขา ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า....

เราอาจเป็นที่ 2 ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3 ที่ 4

และถ้าหากเราเป็นที่ 10 ในใจเขา...ก็ขอให้คิดไว้ว่า...

ดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเขาเลย

....แต่โปรดจำไว้เถอะว่า....ไม่ว่าเธอจะรู้สึกเหนื่อยล้าเพียงใด

ก็ขอให้เธอจง "รัก" ต่อไป

เพราะการ "รัก" ใครสักคนนั้น ไม่ต้องการ "ความพยายาม"

"การตัดใจ" ต่างหากที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย

....ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่า....ความสุขยามที่ได้สบตาเขา

กับความทุกข์ยามที่เธอต้องคอยหลบตาเขา อันไหนมันหนักหนากว่ากัน

++อย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเขาสายเกินไป++

++อย่าโทษเขา ที่ไม่มีใจให้++

++อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกัน แต่ไม่ได้ทำให้ใจเราตรงกัน++

.....แต่จงยิ้มให้กับตัวเอง ที่อย่างน้อย ถึงจะพบกับเขาคนนั้นสายเกินไป แต่ก็ยังได้พบ..

......ยิ้มให้กับเขา ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป..

......ยิ้มให้กับโชคชะตา ที่ยังทำให้เรา ได้รู้จักกัน ..

เธอควรจะดีใจด้วยซ้ำ ที่ครั้งหนึ่ง

เธอได้พบกับคนที่เธอใส่ใจมากกว่าตัวของเธอเอง

คนที่ทำให้เธอ "หัวเราะ" และ "ร้องไห้ " ได้มากมาย

คนที่เธออยากเก็บ "รอยยิ้ม" ของเขาไว้คนเดียว

คนที่เพียงแค่ยิ้มของเขา ก็สามารถเปลี่ยนวันที่หมองหม่น ให้กลายเป็นวันที่สดใส

.....เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ?.....

แค่การได้เห็นคนที่เรารัก ได้หัวเราะอยู่กับใครสักคนที่เขารักมากที่สุด

...นั่นแหละ คือ ความสุขของการได้ "รัก" อย่างจริงใจ